หลายคนคงเคยดูหนังเกี่ยวกับวงการนักธุรกิจที่ต้องแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายต้องการ และยิ่งมีเรื่องของมาเฟียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว คงยิ่งสนุกไปกันใหญ่ เรียกว่าจะปล่อยให้คลาดสายตาไปไม่ได้แม้แต่ตอนเดียว
วันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีรายงานว่าชายชาวจีนกลุ่มใหญ่เกือบ 20 คน พร้อมด้วยล่ามสาวสัญชาติเดียวกันโร่เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท เพื่อแจ้งให้ช่วยติดตาม ช่วยเหลือ นักธุรกิจหนุ่มสองสัญชาติกัมพูชา-จีน วัย 27 ปี นายเฉิน จี้ โดยชาวจีนกลุ่มนี้อ้างว่านายเฉิน เพื่อนของพวกเขาถูกอุ้มหายไปจากหน้าตึกใบหยก 2 กลางวันแสกๆ เพื่อเรียกค่าไถ่!!
ที่สำคัญชาวจีนกลุ่มนี้ยังบอกอีกว่า นายเฉิน จี้ ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมาแล้ว คำบอกเล่าเหล่านี้เล่นเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจงงไปตามๆ กัน ไฉนเรื่องใหญ่เช่นนี้ถึงปล่อยเวลาล่วงเลยไปเกือบ 2 วัน จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ ยังไม่เพียงเท่านั้น ชาวจีนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก ทั้งการให้ปากคำที่คุยไปคุยมาก็ดูเหมือนแทบจะไม่ยอมบอกข้อมูลอะไรตำรวจเลย กว่าจะเค้นข้อมูลสำคัญแต่ล่ะอย่างได้ เล่นเอาปั่นป่วนทั้งโรงพัก ไม่เพียงแค่นั้นชาวจีนกลุ่มนี้มียังมีพฤติกรรมไม่เป็นมิตรต่อนักข่าวอย่างยิ่ง เมื่อนักข่าวหนังสือพิมพ์หัวใหญ่ฉบับหนึ่งเผลอไปกดชัตเตอร์ถ่ายรูปเข้าให้ ชาวจีนแก๊งนี้ถึงกับเดินตามมากระชากตัวนักข่าวท่านนั้นทันที ทำให้นักข่าววงแตกกระเจิงหนีกันคนละทิศละทาง เพราะเกรงจะเกิดอันตราย นอกจากตามมาดึงตัวนักข่าวแล้ว ยังใช้วิทยุสื่อสาร ว.เรียกพรรคพวกที่กระจายตัวอยู่ทั่วโรงพักมาล้อมนักข่าวไว้อีก แม้กระทั่งนักข่าวคนนั้นยอมยกมือไหว้ขอโทษ ขอโพย ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวไป เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจึงต้องขี่ม้าขาวออกมาห้ามทัพ ดึงความสนใจชาวจีนแก๊งนี้ไว้ นักข่าวคนนั้นจึงรีบวิ่งหนีขึ้นรถไป อย่างไรก็ตาม หนึ่งในแก๊งชาวจขีนกลุ่มนี้ยังยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปรถตระเวนข่าวเอาไว้ด้วย
ยิ่งเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ ยิ่งน่าสงสัย หากเป็นเพียงกลุ่มนักธุรกิจจริงจะกระทำการถึงขั้นนี้เลยหรือ เรียกว่ากว่าที่เจ้าหน้าที่จะปักใจเชื่อว่าการลักพาตัวครั้งนี้ ไม่ใช่ละครตบตา เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องระดมพลนายตำรวจระดับมือสืบสวนข้ามาทำงานนี้ ทั้ง พล.ต.ต.พงษ์พันธุ์ วรรณภักตร์ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ รอง ผบก.น.1 รักษาราชการแทน ผกก.สน.พญาไท พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.สส.3 บก.บช.น พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บชน. และตำรวจสืบสวน สน.พญาไท ทั้งหมดต่างช่วยกันระดมความคิด วางแผนตามล่ากลุ่มคนร้ายที่ลักพาตัวนายเฉินไป หลังจาก น.ส.ลี เซี่ย หรือลิสา ฟู่ อายุ 26 ปี ล่ามสาวคนสนิทของนายเฉิน ให้การว่า
“นายเฉินได้ติดต่อให้ตนเป็นล่ามที่ประเทศไทย เนื่องจากตนพูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้ ตนจึงมาเป็นล่ามให้นายเฉิน ทุกครั้งที่นายเฉิน เดินทางมาติดต่อธุรกิจที่ประเทศไทย กระทั่งเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน นายเฉิน ได้ติดต่อตนมาว่า ถูกชายชายฉกรรจ์ไทย 3-4 คน อ้างตัวเป็นตำรวจและบอกว่านายเฉิน มีหมายจับจากประเทศจีนพาตัวขึ้นรถไป ตนจึงติดต่อบรรดาเพื่อนนักธุรกิจชาวจีนที่ประเทศกัมพูชาให้ช่วยกันตามหา จนครบ 24 ชม. ก็ไม่พบตัว จึงตัดสินใจเดินทางมาแจ้งความที่ สน.พญาไท และล่าสุด ได้รับการติดต่อจากกลุ่มคนดังกล่าวให้นำเงิน จำนวน 20 ล้านหยวน หรือ 100 ล้านบาท เป็นค่าไถ่ตัวนายเฉิน แต่ตนบอกไปว่า มีเงินเพียง 18 ล้านบาท คนกลุ่มนั้นได้บอกว่า ให้ตนพยายามหาเงินให้ครบ แล้วจะติดต่อกลับมาใหม่ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อมาอีก”
แนวทางการสืบสวนคดีดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกลุ่มชาวจีนเพื่อนของนายเฉิน ให้ข้อมูลอย่างระมัดระวังมากคล้ายจะกลัวหลุดบอกข้อมูลสำคัญบางอย่าง อีกทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดยังไม่ชัดเจนเพียงพอในช่วงแรก จนเจ้าหน้าที่ต้องไล่กล้องจากจุดต่างๆ กระทั่งได้กล้องที่จับภาพระหว่างเกิดเหตุ และเห็นเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย ทุกกระบวนการต้องเต็มไปด้วยความรอบคอบเพื่อรักษาชีวิตของนายเฉินไว้
เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งประเด็นไปที่กลุ่มคนรู้จักที่อาจมีเรื่องราวบางอย่างไม่ลงรอยกับนายเฉิน กลุ่มนักธุรกิจผู้ขัดแย้งทางผลประโยชน์กับนายเฉิน เนื่องจากตัวนายเฉิน ถือว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ดวงกำลังรุ่ง ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธรุกิจการขายสินค้าออนไลน์ในเน็ตต่างก็กำลังไปได้ดี สร้างรายได้ให้นายเฉิน เป็นกอบเป็นกำ แต่สังคมกลับมุ่งประเด็นไปที่กลุ่มคนมีสี เพราะอย่างที่ทราบกันมีหลักฐาน และพยานยืนยันโดยชัดเจนว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ที่อุ้มนายเฉินไปพูดภาษาไทยชัดเจน ทั้งยังอ้างตัวว่าเป็นตำรวจอีกด้วย!!
การทำงานทุกย่างก้าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปอย่างยากลำบาก จนกระทั่งเมื่อเวลา 22.30 น. ของวันที่ 14 พฤศจิกายน พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น.แจ้งข่าวดีต่อสื่อมวลชนว่าเจ้าหน้าที่พบตัวนายเฉิน จี้ นักธุรกิจคนดังกล่าวแล้วที่ประเทศกัมพูชา และเบื้องต้นทราบว่า หลังถูกอุ้มตัวจากบริเวณหน้าตึกใบหยก ก็ถูกนำตัวไปที่ประเทศกัมพูชาทันที ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวมาอย่างปลอดภัย โดยเจ้าหน้าที่ได้ประสานประเทศกัมพูชาเพื่อให้ส่งตัวนายเฉิน กลับมายังประเทศไทย ก่อนจะนำตัวมาสอบปากคำในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้ เพื่อซักถามรายละเอียดที่ถูกคนร้ายจับตัวไป รวมถึงประเด็นการเรียกค่าไถ่ รวมไปถึงเหตุใดคนร้ายจึงตัดสินใจปล่อยด้วยนายเฉิน มาอย่างง่ายดาย โดยตลอดการเดินทางของนายเฉิน จากกัมพูชาถึงไทย เจ้าหน้าที่จะไม่ได้เข้าไปคุ้มกันดูแลแต่อย่างใด เพราะนายเฉิน ประสงค์ให้กลุ่มเพื่อนที่กัมพูชาของเขาดูแลเท่านั้น
เมื่อสื่อทวงถามข้อสงสัยว่า กลุ่มคนร้ายที่ลักพาตัวนายเฉิน ไปนั้นเป็นคนมีสีหรือไม่ พล.ต.ต.สมบัติ ยังตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบ
แม้คดีนี้จะโชคดีที่ นายเฉิน ถูกปล่อยตัวมาอย่างปลอดภัยท่ามกลางความโล่งอกของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีทุกคน แต่ยังถือว่าคดีไม่สิ้นสุด เมื่อเจ้าหน้าที่ยังต้องไขคำตอบประชาชนให้ชัดเจนว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวนักธุรกิจหนุ่มคนนี้ จะใช่คนมีสีหรือไม่ ถือว่ายังต้องติดตามความเป็นไปของคดีนี้ทุกลมหายใจ ใครจะไปรู้ ศึกครั้งนี้อาจจะเป็นศึกมาเฟียจีน ปะทะ มาเฟียมีสี ก็เป็นได้.....