กองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยผลวิจัยพบช่วง 6 ปี มีตำรวจฆ่าตัวตาย 174 ราย สาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาครอบครัว
วันนี้ (17 ต.ค.) ที่กองวิจัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองวิจัย (รรท.ผบก.วจ.) กล่าวว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้กองวิจัย สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลตำรวจ ทำการศึกษาสาเหตุและปัจจัยที่มีผลต่อการฆ่าตัวตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อศึกษาสาเหตุและปัจจัยที่มีผลต่อการฆ่าตัวตายของตำรวจ และหาแนวทางในการป้องกัน ได้สรุปถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2556 มีตำรวจฆ่าตัวตายรวมทั้งสิ้น 174 ราย พฤติกรรมการฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ทำโดยการยิงตัวตาย คิดเป็นร้อยละ 79.90 ซึ่งปัญหาที่พบว่าเป็นสาเหตุเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ส่วนมากมาจากปัญหาครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 31.60 รองลงมา มาจากสาเหตุของปัญหาสุขภาพ คิดเป็นร้อยละ 27.60 โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แก่ ระดับยศ และสายงาน กล่าวคือ ข้าราชการตำรวจระดับชั้นประทวน มีการฆ่าตัวตายมากกว่าชั้นสัญญาบัตร สายงานที่มีการฆ่าตัวตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่าด้านอื่น คือ ด้านสายงานป้องกันปราบปราม
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า สาเหตุการฆ่าตัวตายที่สำคัญของข้าราชการตำรวจ ได้แก่ สาเหตุด้านจิตใจ โดยพบว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะมีภาวะซึมเศร้าซึ่งมักจะเคยมีความคิดฆ่าตัวตาย และหรือเคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน บุคลิกภาพส่วนใหญ่มักจะเก็บตัว วิตกกังวลง่าย หุนหันพลันแล่น มีความรับผิดชอบสูง และไม่ยืดหยุ่น มักจะดื่มสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ สามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย เมื่อมีเหตุการณ์กระตุ้นอย่างมาก เช่น ปัญหาจากการทำงาน ปัญหาสัมพันธภาพ หรือความเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ได้มีบันทึกสั่งการให้สำนักงานกำลังพล นำไปใช้เป็นข้อมูลจัดทำยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรบุคคลให้เหมาะสมต่อสภาพปัญหา และทิศทางอนาคต และให้โรงพยาบาลตำรวจ พิจารณาให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำโครงการเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิต และป้องกันภาวะเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายของตำรวจ
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยสวัสดิการและสวัสดิภาพการทำงาน โดยให้ทุกหน่วยมุ่งเน้นเรื่องสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชามาเป็นอันดับแรก เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังศึกษาหาแนวทางการทำงานให้เป็นที่รักของประชาชน และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
