สิ่งที่น่าห่วงใยต่อ พล.ต.อ.สมยศ ก็คือ ท่านทราบหรือไม่ว่า “ต้นตอ” ของอบายมุขต่างๆ ที่ผ่านมานั้น ในส่วนของตำรวจที่ไปร่วมรู้เห็นเป็นใจกับเขาวันนี้อยู่รายรอบตัวท่าน ชนิดที่หันไปทางไหนก็เจอทางนั้น ท่านทราบอีกหรือไม่ว่าแต่ละคนล้วนขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “หมัดหนัก”
อื้ออึงอยู่พอสมควรหลังจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดบัญชีทรัพย์สินของบรรดาสมาชิกสภานิติแห่งชาติ (สนช.)
โดยในส่วนของตำรวจเริ่มจากพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. มีทรัพย์สินเกินกว่าหนี้สิน 374,679,849 ล้านบาท พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ 147,294,651 ล้านบาท พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. 137,638,191 บาท พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่รอง ผบ.ตร. 962,067,522 บาท พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ อดีต ผบช.ภ.1 และภาค 7 161,882,999 บาท และเพื่อนเลิฟพัชรวาท พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ 204,180,760 บาท
ทั้งในส่วนของทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่มีทรัพย์สินอู้ฟู่หลักร้อยล้านหรือเฉียดพันล้านนั้น เกิดคำถามกับสังคมอย่างมากมายซึ่งบางคนพอเข้าใจและยอมรับได้ เนื่องจากครอบครัวของตัวเองรวมทั้งภรรยามีกิจการมั่นคงมาแต่เดิมแล้วแต่หลายรายรับราชการล้วนๆ มีนักเลงดีคิดคำนวณอย่าน่าสนใจว่าหากเป็นนักเก็บเงินตัวจริง ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากหลวงไม่เคยนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตพอถึงวันเกษียณอายุราชการจริงๆไม่ควรจะเกิน 30 กว่าล้านบาท หรือหักออก 40เปอร์เซ็นต์เป็นค่าใช้จ่ายก็ควรเหลือไม่เกินหลัก 10 ล้านเศษๆ เท่านั้น
สรุปตามสูตรนี้ บิ๊กตำรวจสนช.ร่ำรวยผิดปกติเกินไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ สนช. กลับมีผู้คนให้ความสนใจอย่างมาก พร้อมกับมีข้อสงสัยต่างๆ สะท้อนออกมาตามกระแสข่าวทุกๆ สื่อ รวมทั้งสังคมออนไลน์อันถือเป็นกระแสหลักของสังคมไทยไปแล้วต่างจากการเปิดบัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าทุกฝ่ายตื่นตัวและต้องการเห็นประเทศชาติปลอดจากการคอรัปชันจริงๆ ประกอบกับก่อนหน้ามีกลุ่ม 28 สนช.ออกอาการยึกยักร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่ต้องการให้ ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน อ้างเหตุผลดื้อว่า สนช. มิใช่นักการเมืองและเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย แค่นั้นเองก็เท่ากับโหมกระพือความสนใจให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. เป็นนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่สังคมเพ่งมองอย่างก้ำกึ่ง ด้านหนึ่งด้วยกระแสภาพลบถูกตั้งข้อหามาจากการเดินตามนักการเมือง แถมด้วยภาพลักษณ์ของสังคมสีกากีจึงโดนเหมารวมไปด้วย เกือบ 400 ล้านเฉพาะของตัวเองไม่เกี่ยวกับลูก-ภรรยา ซึ่งน่าจะมีทรัพย์สินระดับพันล้านขึ้นไป จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโดนหางเลขไปด้วย สรุปภาพรวมแม้จะมีความไม่แน่ใจจากประชาชนส่วนหนึ่งอยู่บ้างแต่เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตำรวจเราจึงมักได้ยินได้ฟังเสมอว่าเขาต้องการให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าคงมิใช่เป็นเพียงคำพูดสวยหรูเพราะรากเหง้าความรู้สึกต่างๆที่ฝังลึกของผู้คนที่มีต่อตำรวจต้องยอมรับว่าล้วนติดลบทั้งสิ้น
ยิ่งอยู่ในฐานะ ผบ.ตร. ผ่านชีวิตรับราชการตำรวจมายาวนาน แถมครึ่งชีวิตที่ติดตามนักการเมืองถ้ามองแง่ดีก็คือ พล.ต.อ.สมยศ ได้เห็น ได้ทราบกับสิ่งที่ชาวบ้าน หรือนักการเมืองพูดถึงตำรวจ ทำไมเขาเกลียด-กลัวตำรวจ และนี่คือโจทก์ใหญ่ที่รอความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ข้างหน้า
วันเสาร์ที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา มีการมอบนโยบายแก่นายตำรวจระดับผู้บัญชาการ และผู้บังคับการ 349 นายทั่วประเทศ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เห็นตัวตนของ ผบ.ตร. ผู้นี้มากขึ้นซึ่งคงต้องติดตาม วิเคราะห์ถึงนโยบาย 8 ข้อที่ให้ไว้รวมทั้งวิธีคิดเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตำรวจเองและการปฏิบัติหน้าที่ต่อประชาชนซึ่งขอย้ำว่า ผบ.ตร. ท่านนี้ มักพูดเสมอในทุกโอกาสว่าจะทำให้ตำรวจเป็นที่รักของประชาชนให้ได้และจะดูแลคุณภาพชีวิตตำรวจให้ดีขึ้น
นโยบาย 8 ข้อที่ทราบกันไปแล้วก็คือ 1. ปกป้อง เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. รักษาความมั่นคงของชาติและแก้ไขความไม่สงบภาคใต้ 3. ป้องกันและแก้ไขปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบในทุกระดับ 4. ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 5. พิทักษ์รับใช้ประชาชนในทุกมิติ รักษาความสงบเรียบร้อยปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความยุติธรรมให้ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน 6. อำนวยด้านจราจรอย่างเป็นระบบ ทันสมัย ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 7. บริการจัดการให้ตำรวจดำรงชีพอย่างมีเกียรติ ศักดิ์ศรีและเป็นที่รักของประชาชน 8.เตรียมพร้อมสูงสุดเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
นอกจากบัญญัติ 8 ประการที่ ผบ.ตร. ให้ไว้ยังมีความคิดเห็นบางช่วงบางตอนที่มองเห็นวิสัยทัศน์นายตำรวจผู้นี้มากยิ่งขึ้นนั่นก็คือปัญหาในส่วนของตำรวจเองที่เกิดขึ้นแทบทุกยุคก็คือปัญหา “ส่วย” พล.ต.อ.สมยศ บอกว่าการเรียกรับผลประโยชน์นั้นจะโทษตำรวจฝ่ายเดียวไม่ได้สังคมต้องหันไปดูผู้ให้ด้วยเช่นประชาชน หรือผู้ประกอบการ ดังนั้น ต่อนี้ไปบ่อนการพนัน ตู้ม้า หวยเถื่อน ต้องหมดไป หากตำรวจคนไหนไปเกี่ยวข้องด้วยก็จะจัดการอย่างเด็ดขาด
ส่วนคุณภาพชีวิตของตำรวจชั้นผู้น้อย พล.ต.อ.สมยศ ขอร้องให้ลูกน้องอยู่อย่างพอเพียง ในฐานะผู้บังคับบัญชาจะพยายามทำให้ตำรวจอยู่ดีมีสุขตามสมควรอย่างเป็นรูปธรรม และต่อไปนี้ขออย่าให้มีตำรวจประเภท สามีติดเหล้ามีเมียน้อย หรือภรรยาเล่นไพ่เพราะเหล่านี้ล้วนสร้างภาพลักษณ์ไม่ตีต่อส่วนรวม อีกทั้งปัญหาตำรวจฆ่าตัวตายซึ่งมีสาเหตุจากงาน เศรษฐกิจ และสุขภาพ ต่อนี้ไปถ้ายังมีตำรวจฆ่าตัวตายอีกระดับ ผกก. จะต้องรับผิดชอบ
ตอนหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ประกาศต่อที่ประชุมว่าต่อไปนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่มีสี ไม่มีพวก ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จะต้องทำให้เป็นสีเดิมคือสีกากี....
เมื่อไล่เรียงลงมาทั้ง 8 ข้อรวมถึงการแสดงวิสัยทัศน์ต่างๆแล้วต้องยอมรับว่าเป็นการมอบนโยบายที่เข้มข้น ชัดเจนเป็นที่เข้าใจของตำรวจระดับปฏิบัติการทุกๆคนโดยเฉพาะเรื่องของความโปร่งใส ต่อไปนี้ประเทศไทยต้องสะอาดปราศจากสิ่งผิดกฏหมายในทุกมิติรวมทั้งการพนันในรูปแบบต่างๆ
แต่สิ่งที่น่าห่วงใยต่อ พล.ต.อ.สมยศ ก็คือท่านทราบหรือไม่ว่า “ต้นตอ” ของอบายมุขต่างๆ ที่ผ่านมานั้น ในส่วนของตำรวจที่ไปร่วมรู้เห็นเป็นใจกับเขาวันนี้อยู่รายรอบตัวท่าน ชนิดที่หันไปทางไหนก็เจอทางนั้น ท่านทราบอีกหรือไม่ว่าแต่ละคนล้วนขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “หมัดหนัก” และเป็นนักเสี่ยงได้เสียตัวยง แทงบอลคู่ละล้าน แทงม้าเที่ยวและแสน แถมบางคนบินข้ามประเทศไปเล่นบาคาร่าได้เสียเป็นสิบเป็นร้อยล้านอย่างมืออาชีพ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ สวัสดิการต่างๆ ของตำรวจชั้นผู้น้อย เมื่อ “ผู้นำ” มีนโยบายให้ทุกพื้นที่ขาวสะอาดอีกทั้งทำตัวให้เป็นที่รักของประชาชนคำสัญญาที่ว่าจะให้ลูกน้องอยู่ดีมีสุขตามสมควรนั้นหมายถึงอะไร เช่นการจัดทำบ้านพักหรือแฟลตตำรวจใช่หรือไม่ งบประมาณต่างๆ ที่จัดสรรไปตามสถานีตำรวจ ทั้งค่าน้ำมันค่าซ่อมบำรุงยานพาหนะจะมีระเบียบที่รัดกุมและรวดเร็วอย่างไร และข้อควรระวังอย่างที่สุดก็คือการประมูลซื้อของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในแต่ละครั้งควรสอดคล้องกับความต้องการจริง เช่น กรณี จยย. ไทเกอร์ที่เกิดปัญหาจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งการก่อสร้างโรงพัก กับที่พักอาศัยในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น
ที่สวนกับความเป็นจริงและเห็นได้ชัดก็คือตำรวจในยุคนี้จะต้องเป็นเนื้อเดียวกันคือ “สีกากี” ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ประเด็นนี้ชัดเจนจนไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์เจาะลึกอะไรเลยเพราะทุกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการไม่ว่าจะเป็นในส่วนใดหรือแม้แต่ส่วนของตำรวจมีการแบ่งข้างกันอย่างชัดเจน การล้างบางตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาล ก็ดี การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ดีหรือแม้แต่การมอบหมายหน้าที่แก่รองผบ.ตร.ซึ่งบุคคลที่ถูกกระทำมากที่สุด ก็คือพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม ในอดีตซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ารองผบ.ตร. ท่านนี้คือคู่แข่งของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เมื่อครั้งถูกเสนอชื่อให้เป็น ผบ.ตร. คนใหม่
แต่เมื่อ พล.ต.อ.เอก พลาดหวังและสังคมมีความเชื่อว่าในเที่ยวหน้าหลังจาก พล.ต.อ.สมยศ เกษียณอายุราชการไปก็ควรถึงคิว พล.ต.อ.เอก เพื่อคืนความชอบธรรมแต่การเคลื่อนไหวต่างๆ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่นการร้องขอให้พ้นจากรั้วปทุมวันไปเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ หรือคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่ามีการสร้างกระแสเรื่องความรับผิดชอบ และการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากฝ่ายปราบปรามมาเป็นฝ่ายกฎหมาย คุมการสอบสวน
จังหวะเดียวกัน พล.ต.อ.สมยศ ได้มอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับพล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงและบริหาร 1 แถมยังส่งไปคุมคดีเกาะเต่าในช่วงท้ายที่มีการจับกุมกันแล้ว นัยเพื่อสร้างและลดเครดิตของตำรวจที่จะกลายเป็นคู่แข่งตำแหน่งสำคัญในอนาคต และเพื่อสร้างความชอบธรรมในระยะยาว “กลืน” พล.ต.อ.เอก ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด ในฐานะมือปราบตู้ม้าตัวจริง อีกทั้งกติกาใหม่ของการแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” นั้นให้อำนาจ ผบ.ตร. คนปัจจุบันเสนอชื่อผู้ใต้บังคับบัญชา หรือง่ายๆ ก็คือ ลูกน้องในดวงใจได้เองโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการใดๆ
ซ้ำรอยเดิมๆกับพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตรักษาการ ผบ.ตร. เป็นผู้เสนอชื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง (ในขณะนั้น) ต่อที่ประชุมคณะกรรมการการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่ง 1 ในเหตุผลสำคัญก็คือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงมาเป็นอันดับแรก แผนสุดยอดส่ง “น้องเลิฟ” เป็นทายาทสืบต่อ นี่คือสัญญาณตรงและสัญญาณแรงที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. ส่งไปยังตำรวจ 2.3 แสนนายทั่วประเทศ
“ตำรวจยุคนี้ต้องไม่มีสี ไม่มีพวก ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต้องทำให้เป็นสีเดียวคือสีกากี” ท่านกล้าพูดจริงๆ