ผู้ว่าฯ สตง.เผยระงับจ่ายงบโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน 358 แห่งใน 17 จังหวัดทั่วประเทศได้กว่า 60 ล้าน ด้านเลขาฯ ป.ป.ท.คาดสอบเสร็จใน 3 เดือน
วันนี้ (14 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) มีการประชุมร่วมกันระดับผู้บริหารของ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อวางแผนตรวจสอบโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน 358 แห่งใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ งบประมาณกว่า 689 ล้านบาท โดยใช้เวลาประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง
นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการ ป.ป.ท. แถลงภายหลังการประชุมว่าวันนี้เป็นการประชุมร่วมกันของ 4 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันทำงานตรวจสอบกรณีการก่อสร้างสนามฟุตซอลฯ โดยจะผสานกำลังคนและใช้อำนาจทางกฎหมายของทั้ง 4 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันหาตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้แก่ 1. กลุ่มผู้ดำเนินการจัดซื้อ จัดหา 2. กลุ่มเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการประมูลงาน และ 3. กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลัง โดยจะได้รวบรวมพยานหลักฐานโครงการดังกล่าว เพื่อพิสูจน์หาตัวคนผิดมาลงโทษโดยเร็วและเด็ดขาดตามนโยบายของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ทั้งนี้ ป.ป.ท.จะรับผิดชอบการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วน ปปง.ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน และดีเอสไอตรวจสอบเรื่องกลุ่มบริษัทที่เข้าไปรับเหมาประมูลงาน ขณะที่ สตง.จะตรวจสอบการใช้งบประมาณว่าตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่เสนอมาหรือไม่ โดยคาดว่าภายใน 1 สัปดาห์จะได้เอกสารเกี่ยวข้องครบทั้งหมด และคาดว่าจะตรวจสอบภาพรวมแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
ด้านนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสตง. กล่าวว่า จากการตรวจสอบโครงการดังกล่าว เบื้องต้นพบว่ามีการทุจริตโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลจริง คือ พื้นสนามคอนกรีตไม่ได้มาตรฐาน วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ไม่เป็นไปตามสเปกที่กำหนดไว้ในสัญญา ดังนั้น สตง.ภาค 5 จึงเข้าไปตรวจสอบโรงเรียนในพื้นที่ ประกอบด้วย จ.มุกดาหาร จ.อุบลราชธานี จ.ยโสธร จ.อำนาจเจริญ และนครพนม
จากการที่เราเข้าไปตรวจสอบโครงการดังกล่าวทำให้โรงเรียนจำนวนมากไม่กล้าเซ็นตรวจรับงานจากผู้รับเหมา จนสามารถระงับยับยั้งการจ่ายงบประมาณของรัฐได้กว่า 60ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทผู้รับเหมาฟ้องร้องโรงเรียนหลายแห่ง ส่วนการที่โรงเรียนบางแห่งได้นำงบประมาณที่ได้จากการแปรญัตติไปก่อสร้างสิ่งอื่นที่มีความจำเป็นและเหมาะสมกับโรงเรียนนั้น ถือว่าฉลาด อย่างไรก็ตาม สตง.จะต้องเข้าไปตรวจสอบด้วยเช่นเดียวกัน
“จากการตรวจสอบทางวิศวกรรมพบว่า การก่อสร้างได้แต่ลานคอนกรีตเอียง บางแห่งน้ำท่วมขัง และไม่ได้มาตรฐาน นับว่าเป็นเรื่องอุกอาจที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในสถานศึกษา บางพื้นที่ต้องสร้างนามฟุตซอลกลางแจ้งแต่เมื่อสร้างเสร็จกลับใช้ไม่ได้ เพราะว่าวัสดุไม่ได้มาตรฐาน เป็นเรื่องของการใช้งบแปรญัตติของนักการเมืองแบบเก่าๆ ซึ่งแต่ละโรงเรียนก็สามารถที่จะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้ ต้องเร่งตรวจสอบเพื่อจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น การที่ สตง.เข้าไปตรวจสอบทำให้หลายโรงเรียนที่แม้จะมีการก่อสร้างสนามฯ เสร็จแล้ว ก็ยังไม่กล้าที่จะตรวจรับงานจนเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องระหว่างโรงเรียนกับบริษัท” นายพิศิษฐ์กล่าว
