“หลวงปู่พุทธะอิสระ” แจ้งจับผู้ที่โพสต์คลิป “มหาวิทยาลัยประชาชน” ฐานหมิ่นเบื้องสูง พร้อมนำคลิปวิดีโอในเว็บไซต์ยูทิวบ์มามอบให้เป็นหลักฐาน จี้ล่า “โกตี๋” ตามหมายจับด้วย ยันไม่คิดแจ้งความดำเนินคดีต่อคนที่วางยาในน้ำมังคุด
วันนี้ (7 ส.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. หลวงปุ่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม พร้อมด้วย น.ส.พนิตานันท์ ชูตินันทกานต์ อายุ 50 ปี และลูกศิษย์กว่า 10 คน เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ชลิต มณีพราว พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อบุคคลที่โพสต์คลิปวิดีโอในเว็บไซต์ยูทิวบ์ซึ่งมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยนำหลักฐานเป็นซีดีบันทึกคลิปดังกล่าว และหนังสือร้องทุกข์มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า ได้พบคลิปนี้ทางเว็บไซต์ยูทิวบ์ โดยผู้โพสต์ใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยประชาชน” ภาพในคลิปมีชาย 2 คนนั่งอ่านแถลงการณ์ ส่วนฉากหลังมีข้อความว่า ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (The Thai Alliancefor Human Rights) มีความยาวทั้งสิ้น 17.30 นาที มีเพียงคลิปเดียว สำหรับเนื้อหาที่พูดนั้นก็เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงอย่างชัดเจน และขณะนี้คลิปนี้บุคคลทั่วไปยังสามารถเข้าไปดูได้ ยังไม่ได้ถูกบล็อกหรือมีเจ้าหน้าที่มาจัดการลบออกแต่อย่างใด
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวต่อว่า การกระทำลักษณะดังกล่าวเป็นการจาบจ้วงที่รับไม่ได้ เชื่อว่าคนไทยทุกคนก็รับไม่ได้ จึงอยากให้ทางตำรวจได้ช่วยสืบสวนว่าบุคคลทั้งสองเป็นใคร เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี และพร้อมจะให้รางวัลนำจับ 5 แสนบาท ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมชายทั้งสองคนไว้ได้
นอกจากนี้ ยังมาติดตามความคืบหน้าคดีรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคดีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง หลังจากเคยแจ้งความดำเนินคดีเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวถึงกรณีที่ถูกออกหมายจับคดีกบฏ และคดีขัดขวางการเลือกตั้ง ว่าได้ส่งทนายความเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแก้ต่างคดีแล้ว ส่วนเรื่องที่ถูกวางยาพิษในน้ำมังคุดนั้น ขณะนี้ก็ยังมีอาการป่วยอยู่และยังไม่ได้เข้าพบแพทย์เพื่อรักษา เนื่องจากมีกิจนิมนต์เยอะ แต่ก็ไม่คิดจะแจ้งความดำเนินคดีต่อคนที่วางยา เพราะคงไม่เกิดประโยชน์อะไร ขนาดนักมวยยังโดนวางยาได้
ด้าน ร.ต.ท.ชลิตกล่าวว่า ในเบื้องต้น น.ส.พนิตานันท์เป็นผู้ร้องทุกข์แทนหลวงปู่พุทธะอิสระ อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวนั้นเข้าข่ายความรับผิดชอบของกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) จึงรับเรื่องและสอบปากคำไว้ก่อนจะเสนอผู้บังคับบัญชาส่งต่อให้ทาง บก.ปอท.รับไปดำเนินการต่อไป