โชเฟอร์แท็กซี่ดวงซวยร้องเรียนนักข่าวกองปราบฯ ถูกตำรวจ สภ.ปากเกร็ด จับดำเนินคดีข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ผู้เสียหาย ติดคุกนานกว่า 2 ปี หลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 15 ปี กว่าคดีจะสิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ - ฎีกา ยกฟ้อง โอดร้องขอเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคดีอาญาไม่ได้ เพราะศาลชี้เหตุยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยไม่ผิด!
วันนี้ (29 ก.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. นายสมบัติ ขันอาสา อายุ 41 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ อยู่บ้านเลขที่ 1482 หมู่ 5 ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร เข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชนประจำ บก.ป. กรณีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จับกุมในข้อหาชิงทรัพย์เป็นจักรยานยนต์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งต่อมาคดีได้ถูกส่งฟ้องในชั้นศาลโดยศาลจังหวัดนนทบุรี พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 15 ปี จากนั้นศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง และศาลฎีกาก็พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ รวมแล้วต้องใช้เวลาในการต่อสู้คดีกว่า 4 ปี รับโทษจำคุกมากว่า 2 ปี
นายสมบัติ กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากตนได้เปลี่ยนอาชีพจากทำร้านคาราโอเกะ มาขับรถแท็กซี่ สีส้ม ทะเบียน 9319 กรุงเทพมหานคร โดยวันเกิดเหตุจำได้ขึ้นใจว่า ได้รับผู้โดยสารเป็นผู้ชาย 2 คน ซึ่งว่าจ้างจากย่านคลองหนึ่ง จ.ปทุมธานี ให้ไปส่งที่ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ เขตบางเขน กทม. แต่ระหว่างนั้นผู้โดยสารคนดังกล่าวกลับบอกให้ไปส่งที่ซอยพหลโยธิน 65 แทน แล้วโจรในคราบผู้โดยสารก็ออกลาย ชักมีดออกมาจี้ บังคับให้ส่งเงินไปให้ด้วยความเกรงกลัวว่าจะได้รับอันตราย จึงหยิบเงินในลิ้นชัก 300 บาท ส่งให้คนร้าย แต่จังหวะที่คนร้ายเผลอ จึงบิดมือทำให้มีดพร้อมกับนาฬิกาข้อมือของคนร้ายหล่นลงพื้นรถ ขณะที่คนร้ายอีกคนก็พยายามใช้ไม้ปลายแหลมแทงตน ก่อนจะเปิดประตูรถหลบหนีไป
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า เมื่อตั้งสติได้จึงรีบโทรศัพท์แจ้งเหตุไปที่หมายเลข 191 เพื่อขอความช่วยเหลือ ระหว่างนั้นยังแจ้งศูนย์วิทยุของแท็กซี่ เพื่อขอให้เพื่อนแท็กซี่ช่วยติดตามคนร้ายด้วย แต่ก็ไม่พบตัว ต่อมาก็มีตำรวจสายตรวจ สน.บางเขน ได้พาตนไปสอบปากคำ เพื่อบันทึกคำให้การ เมื่อเสร็จธุระแล้วจึงออกมาขับรถต่อ กระทั่งช่วงเช้ามืดวันที่ 17 กรกฎาคม 2551 ขณะกำลังนำรถกลับไปส่งที่อู่ ก็มีชาย 2 คน อ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบจาก สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เรียกตัวไปคุยที่รถ ซึ่งมีตำรวจอีก 8 นาย จากนั้นไม่นานก็มีนายโก้เพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งขับแท็กซี่ด้วยกันตามมาด้วย
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ต่อมาทางตำรวจสอบปากคำ และกล่าวหาว่าตนร่วมกันก่อเหตุชิงทรัพย์จักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า ฟิโน่ ทะเบียน ลจล 560 กรุงเทพมหานคร ของนางหนึ่งฤทัย เทโพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 บริเวณถนนเลียบคลองประปา ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยผู้เสียหายกล่าวหาว่าตนขับแท็กซี่ปาดหน้าแล้วชิงจักรยานยนต์หลบหนีไป ซึ่งตนยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง โดยวันเดียวกันนั้นยังเพิ่งถูกชิงทรัพย์บนรถแท็กซี่จนต้องเข้าให้การกับตำรวจ สน.บางเขน มาด้วย
“ผมปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าช่วงเวลาเกิดเหตุ ถูกคนร้ายจี้ชิงทรัพย์บนรถแท็กซี่ จนต้องเข้าให้ปากคำกับตำรวจสน.บางเขน ไม่มีทางที่จะมาก่อเหตุดังกล่าวได้ หลังจากนั้น ยังได้ขอให้ตำรวจที่ สน.บางเขน ช่วยเป็นพยานด้วย แต่ตำรวจที่จับกุมตน ไม่เชื่อพร้อมกับเร่งรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องต่ออัยการ จ.นนทบุรี จนเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2552 คดีก็ขึ้นสู่ชั้นศาล โดยตนได้ขอให้เพื่อนซึ่งเป็นทนายความ ที่รู้จักกันช่วยว่าความให้ เพราะไม่มีเงินไปจ้างทนาย” นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่า ภายหลังคดีถูกพิจารณาที่ศาลจังหวัดนนทบุรี แล้วนั้น ทางศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 15 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 42,000 บาท ซึ่งตนถูกจำคุกไปเป็นเวลา 2 ปี 3 เดือน กับอีก 20 วัน ระหว่างที่ยื่นอุทธรณ์คดี จากนั้นในวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ศาลอุทธรณ์จึงมีการพิจารณาคดี และมีคำพิพากษายกฟ้อง อัยการยื่นฎีกาต่อ จึงต้องต่อสู้คดีอีก จนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ตนจึงพ้นมลทินจากคดีนี้
อดีตจำเลยคดีชิงทรัพย์รายนี้ กล่าวอีกว่า เมื่อตนได้ปรึกษากับทางสภาทนายความในเบื้องต้น จึงได้รับคำแนะนำให้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอรับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา ที่เกิดขึ้นจากการถูกพิจารณาดำเนินคดี รวมถึงต้องถูกคุมตัวในเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด แต่ต่อมาศาลแพ่งยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่าศาลฎีกา ยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัย และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย มิได้ยกฟ้องเนื่องจากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติ ว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ผู้ยื่นคำขอจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนกับค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 มาตรา 20
“ผมรู้สึกท้อแท้ใจมากกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ที่ผ่านมา เคยเข้าร้องทุกข์กับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเดียวกัน ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร จึงมาร้องทุกข์ในครั้งนี้โดยนำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้พิจารณาดู ผมติดคุกมากว่า 2 ปี ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด แถมช่วงเวลาเดียวกันนั้น ยังถูกคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ด้วยซ้ำ แต่ก็ผ่านช่วงเวลาแย่ๆมาได้ ทุกวันนี้ก็ขับแท็กซี่ทำมาหากินอย่างสุจริต โดยหวังว่าสักวันคงได้รับความเป็นธรรม ได้รับการเยียวยา
เพราะก่อนหน้านี้เงินสักบาทก็ไม่ได้ แถมติดคุกฟรีๆ ไปจนครอบครัวแตกแยก ลูกสาวก็ต้องเปลี่ยนที่เรียน” นายสมบัติ กล่าวทิ้งท้าย