xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาสั่งเจ้าของประตูน้ำโพลีคลินิก จ่ายหนี้กองทุนรวม 76 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ เจ้าของประตูน้ำโพลีคลินิก
ศาลฎีกาสั่งเจ้าของประตูน้ำโพลีคลินิก จ่ายหนี้จำนองทรัพย์ค้ำประกัน พร้อมดอกเบี้ย 76 ล้าน ให้กับกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540

ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลแพ่ง วันนี้ (9 ก.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ 10824/2543 ที่กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล เป็นโจทก์ฟ้องนายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ เจ้าของกิจการเสริมความงามประตูน้ำโพลีคลินิก และนางกมลรัตน์ เวชวิสิฐ ภรรยา เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 เรื่องยืม ค้ำประกัน จำนอง โอนสิทธิเรียกร้อง

โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้วงเงินสินเชื่อกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสิน จำกัด (มหาชน) วงเงิน 1 ล้านบาท และวันที่ 19 ก.ค. 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสิน จำนวน 12 ล้านบาท โดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกสิกรไทย เรียกเก็บลูกค้าเงินกู้ที่ดีมีกำหนดเวลาการชำระคืนเงินต้นไม่น้อยกว่า 1 ปี บวกด้วย 1.5 ต่อ ปี (เอ็มแอลอาร์ บวก 1.5 ต่อปี) หากผิดนัดยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะนั้นอัตราร้อยละ 21 ต่อปี มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 1 นำทรัพย์สินมาจดทะเบียนจำนองเป็นการชำระหนี้ไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสิน มีข้อตกลงท้ายสัญญาจำนองว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ยอมให้ยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 19 ธ.ค. 2540 หลังจากนั้นผิดนัด ต่อมาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสินโอนสิทธิ์เรียกร้องทั้งหมดให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ทวงหนี้จำเลยทั้งสองเพิกเฉย คำนวณถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 ยังค้างชำระ 11,213,062.62 บาท พร้อมดอกเบี้ย 6,967,459.18 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินรวม 18,181,489.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของเงินต้น 11,213,062.62 บาท นับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2543 วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 11,213,062.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยบวก 3 ต่อปี ของเงินต้น นับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถัดจากวันฟ้องต้องไม่เกินร้อยละ 21 ต่อปี หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 104914 ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี และที่ดินโฉนดเลขที่ 2902 แขวงมักกะสัน เขตดุสิต กทม.ซึ่งเป็นทรัพย์จำนองขายทอดตลาด ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสองมาชำระหนี้แก่โจทก์ ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองฎีกาในทำนองว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ชนะการประมูลเข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เป็นขัดต่อ พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 สัญญาขายจึงตกเป็นโมฆะ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ เห็นว่า ในชั้นที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา โดยศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อปลีกย่อยอื่นๆ แม้ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน

ภายหลัง นพ.เทพ เวชวิสิฐ เจ้าของประตูน้ำโพลีคลินิก กล่าวว่า ยอมรับในคำพิพากษาของศาลฎีกา และพร้อมใช้หนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ หลังพยายามต่อสู้คดีมา 14 ปี เรื่องนี้เกิดจากตนไปซื้อตึกแถว 2 คูหาที่ประตูน้ำ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประตูน้ำโพลีคลินิก ต่อมาเกิดวิกฤตฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 บริษัทหลักทรัพย์และธนาคารล้มหลายแห่ง ปรส.จึงเข้ามาบริหารสินทรัพย์และตีว่าทรัพย์สินตนเป็นหนี้เน่า จึงขายทอดตลาดให้แก่โจทก์ไป ทั้งที่เคยผ่อนชำระมาก่อนหน้าจะเกิดฟองสบู่แตกหลังจากนั้นจึงไม่ผ่อนชำระอีก เหตุที่ไม่ยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์นั้น ตนเห็นว่า ปรส.มีการเลี่ยงภาษีทำให้รัฐเสียหายจึงไม่อาจขายสินทรัพย์ได้ แต่ปัญหาดังกล่าวมาทราบภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว ตนยอมรับและพร้อมจะขายทรัพย์สินที่มีเพื่อใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ยรวม 76 ล้านบาทต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น