พล.ท.มนัส เข้ามอบตัวตามหมายจับศาลทหาร ฐานครอบครองอาวุธสงคราม พร้อมปฏิเสธอยู่เบื้องหลังกองกำลังติดอาวุธ แต่งชุดดำก่อเหตุความรุนแรง เมื่อปี 53 ยอมรับรู้จัก “จักรภพ” ในฐานะนักการเมือง คดีนี้ยังเหลือผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีในคดีเดียวกันอีก 10 ราย
วันนี้ (8 ก.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ท.มนัส เปาริก หรือ “เสธ.หยอย” อายุ 65 ปี อดีตรองแม่ทัพภาค 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2557 ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะพนักงานสอบสวน เพื่อต่อสู้คดีดังกล่าว
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ทาง พล.ท.มนัส ได้เดินทางเข้ามอบตัวด้วยความสมัครใจ โดยมีความประสงค์จะขอเข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็จะรับตัวไว้ และดำเนินการสอบสวนปากคำตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนจะให้การอย่างไรก็เป็นสิทธิ เมื่อการสอบสวนเสร็จจะมีความประสงค์ยื่นเรื่องขอประกันตัว ก็จะมีการพิจารณาดูเหตุผลความจำเป็น หลักทรัพย์ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็พร้อมจะอำนวยความสะดวกให้ เนื่องจากให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวต่อว่า สำหรับในรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ในสำนวนคดีนั้น คงไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยทางพนักงานสอบสวนจะแจ้งให้ พล.ท.มนัส ได้ทราบก็คงจะมีการสอบปากคำตามขั้นตอน ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับคดีอาวุธปืน คงเป็นไปตามที่ทางพนักงานสอบสวนมีข้อมูล พยานหลักฐานต่างๆ จนได้เข้ายื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเครือข่ายในคดีอาวุธสงครามครั้งนี้ มีการขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาไว้แล้ว 13 ราย จับกุมได้แล้ว 3 ราย และทาง พล.ท.มนัส ก็ได้เข้ามอบตัว เมื่อทราบว่าถูกออกหมายจับ จึงคงเหลือผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวอีก 10 ราย ที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้เร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ได้รับข้อมูลว่าผู้ต้องหาหลายรายมีการติดต่อที่จะขอเข้ามอบตัวแล้ว
ด้าน พล.ท.มนัส กล่าวว่า ในขณะนี้ตนคงยังไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เพราะยังไม่ทราบรายละเอียดในคดี ว่า ทางตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาใดกับตนบ้าง หลังจากทราบข้อหาแล้วจึงจะให้การได้ ส่วนกรณีที่ถูกออกหมายจับนั้น ตนทราบผ่านทางสื่อมวลชน และได้อ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ จึงประสงค์จะเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดีในครั้งนี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีความเชื่อมโยงกับเรื่องอาวุธสงคราม รวมทั้งกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางอาวุธสงครามหลายรายการในพื้นที่ต่างๆ ก่อนหน้านี้ พล.ท.มนัส กล่าวว่า คงต้องปฏิเสธ เพราะว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เมื่อถามถึงความเกี่ยวพันกับ นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ถูกระบุว่าเป็นคนจัดหาอาวุธทั้งหมดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน พล.ท.มนัส กล่าวว่า ตนรู้จักเพราะนายจักรภพ เคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็เคยคุยกันแค่ครั้งเดียว ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด
ต่อข้อถามเกี่ยวกับการถูกพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธ ชายชุดดำ และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งเคลื่อนไหวในการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 นั้น พล.ท.มนัส กล่าวว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรในเรื่องกองกำลัง รวมถึงเรื่องชายชุดดำ ที่มีการพูดถึงนั้นไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีของ เสธ.แดง ก็ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนม เขาเป็นเพียงแต่นายทหารรุ่นน้องตน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเครือข่ายคดีอาวุธสงครามที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 13 ราย นั้น ได้แก่ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้จัดหาอาวุธสงครามจากประเทศกัมพูชา มาให้ พล.ท.มนัส เปาริก หรือ เสธ.หยอย จากนั้น เสธ.หยอย ก็จะแจกจ่ายอาวุธทั้งหมดไปยัง นายจักรินทร์ เรืองศักดิ์วิชิต, นายกฤษณะ ทัพไทย หรือ สยาม, นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ หรือเปี๊ยก, นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร หรือ ศิวะ, นายพีรพงษ์ สินธุสนธิชาติ, จ.ส.อ.ภคภูมิ โกศินานนท์ หรือ จ่าโก, นายสมเจตน์ คงวัฒนะ, นายจิราวัฒน์ อรชุนกะ, นายอัคคี ไม่ทราบนามสกุล และชายไม่ทราบชื่ออีก 2 คน
อย่างไรก็ดี มีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมแล้ว 3 ราย คือ จ.ส.อ.ภคภูมิ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมพร้อมอาวุธสงครามหลายรายการในพื้นที่ย่านคลอง 6 จ.ปทุมธานี, นายสมเจตน์ และ นายจิราวัฒน์ ซึ่งทั้งสามรายให้การซัดทอดไปถึง พล.ท.มนัส กระทั่งเจ้าตัวเข้ามอบตัวดังกล่าว
ต่อมาเวลา 18.30 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.มนัส ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นจำนวน 200,000 บาท เพื่อขอประกันตัวในชั้นสอบสวน แต่ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ทำเรื่องเสนอไปยัง
พล.ต.อ.สมยศ โดยมีความเห็นคัดค้านการประกันตัวในคดีดังกล่าว เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นและยังต้องตรวจสอบความเชื่อมโยงในคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งทาง พล.ต.อ.สมยศ จึงยังไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหา อย่างไรก็ดี พนักงานสอบสวนมีอำนาจในการควบคุม
พล.ท.มนัส เป็นเวลา 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงคุมตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขัง และหากทางผู้ต้องหาจะยื่นเรื่องขอประกันตัว ก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลต่อไป