สน.พระอาทิตย์
ข่าวสะพัดในแวดวงสีกากีเวลานี้ว่า “บิ๊กโอเล่” มีโอกาสเบียด พล.ต.อ.สมยศ และ พล.ต.อ.เอก แซงในโค้งสุดท้ายคว้าเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ไปครอง ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องใหม่ หากนายตำรวจที่จะเป็น “แม่ทัพใหญ่สีกากี” จะมาจาก “หน.นรป.” เพราะประวัติศาสตร์ “กรมปทุมวัน” เคยมีตำรวจที่มาจาก “หน.นรป.” ขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” มาแล้ว
หากวัดจนถึง ณ นาทีนี้ ศึกชิงเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ผบ.ตร.” ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนจะได้เวลาเคาะชื่อแล้ว เมื่อเทียบกันระหว่างสองบิ๊กแคนดิเดต “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง (มค.) ดูข่าวมีโอกาสเหนือกว่า “บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายป้องกันปราบปรามอาชญากรรม (ปป.)
แม้ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ รักษาการแม่ทัพใหญ่สีกากี จะออกตัวว่า นายตำรวจยศ “พล.ต.อ.” ในราชการทุกนายมีสิทธิ์คว้าเก้าอี้เบอร์ 1 กรมปทุมวัน แต่ก็เป็นคำพูดในหลักการ ตามระเบียบ ข้อกฎหมาย ที่กำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. เท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว “พล.ต.อ.” ที่มีโอกาสครองรหัสเรียกขาน “พิทักษ์ 1” ก็จะขึ้นกับสถานการณ์ ยุคใครสมัยใดตำรวจคนไหนมีความใกล้ชิดขั้วอำนาจมากกว่ากัน
พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. 2 นายตำรวจที่มีบทบาทและเลือกยืนรับใช้รัฐบาลยิ่งลักษณ์แบบสุดตัว ซึ่งเคยเป็นแคนดิเดตมีโอกาสขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” มาก่อนเมื่อขั้วอำนาจพลิกผัน โอกาสของทั้งคู่ในการขึ้นเป็น ผบ.ตร. ตามทฤษฎีแม้จะยังมีโอกาสอยู่ แต่ในทางปฏิบัติคงต้องบอกว่า “ยาก” และ “ยากแสนเข็ญ” ทีเดียว
เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน จเรตำรวจแห่งชาติ ก็ยังอาวุโสน้อย รวมทั้งมีอายุราชการเหลืออีกหลายปีเกินไป
ต้องยอมรับว่า ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เหมือนเป็นเส้นทางที่เปิดช่องเอื้อให้กับ “พล.ต.อ.สมยศ” ในการก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ “ผู้นำสีกากี” คนใหม่ รับไม้ต่อจาก “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 กันยายน 2557 มากกว่า “พล.ต.อ.เอก” อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในช่วงนี้ “พล.ต.อ.วัชรพล” ซึ่งมีอำนาจในการบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติพยายาม “ชง” โอกาสให้พล.ต.อ.สมยศ แบบออกนอกหน้า ถึงขนาดลงนามคำสั่ง ตร. ที่ 320/2557 การมอบหมายให้กำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับความมั่นคงให้ พล.ต.อ.สมยศ ดูแลคดีเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม และคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
แล้วสั่งยกเลิกคำสั่ง ตร. ที่ 265/ 2557 ที่มอบหมายให้ “พล.ต.อ.เอก” ทำคดีเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นคดีนโยบายที่ คสช. ให้ความสำคัญอย่างมาก
ยกบันไดหนี “บิ๊กเอก” มาพาดให้ “บิ๊กอ๊อด” ได้สร้างผลงานให้เข้าตา คสช.
ไม่นับรวมพลังหนุนจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ลูกพี่เก่า พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งเป็นน้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ทบ. พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นน้องรักคนหนึ่งในก๊วนบูรพาพยัคฆ์ ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนัก “บิ๊กอ๊อด” ในการก้าวสู่เก้าอี้ “แม่ทัพใหญ่สีกากี” อีกหลายเท่านัก
ที่สำคัญ “ตาอยู่” อย่าง “บิ๊กเปี๊ยก” พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ถูกคาดหมายมีลุ้นเก้าอี้ “ผบ.ตร.” อยู่เช่นกัน เพราะเป็นม้ามืดที่ไม่มีใครคิดถึง แต่จู่ๆ คสช. ก็มีคำสั่งให้ไปรักษาการเก้าอี้ “อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่พอ คสช. มีประกาศคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ไปนั่งเก้าอี้ “อธิบดีดีเอสไอ” แบบถาวร และขาดจากเก้าอี้ “รอง ผบ.ตร.” ก็ดูเหมือนหนทาง “พล.ต.อ.สมยศ” จะสดใสซาบซ่าส์ยิ่งขึ้น
ไหนเลยจะคาด แม้องค์ประกอบต่างๆ จะเกื้อหนุน พล.ต.อ.สมยศ ขนาดไหน แต่คำขวัญสุดคลาสสิกของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้...” ก็ยังเป็นวลีที่ไม่ควรมองข้ามในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนสีกากีไม่เว้นแม้แต่การชิงเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ในหนนี้
ภายใน “กรมปทุมวัน” เริ่มมีกระแสข่าวลือสะพัดตอนนี้มีชื่อ “ตาอยู่” รายใหม่ปรากฏขึ้นมา เป็นแคนดิเดตช่วงชิงเก้าอี้ “ผบ.ตร.” นอกเหนือจาก พล.ต.อ.สมยศ และ พล.ต.อ.เอก
ยังมีม้ามืดอีกรายหนึ่งคือ “บิ๊กโอเล่” พล.ต.อ.ไตรรัตน์ อมาตยกุล หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (หน.นรป.)!!!
ที่กำลังมีข่าวสะพัดในแวดวงสีกากีเวลานี้ว่า “บิ๊กโอเล่” มีโอกาสเบียด พล.ต.อ.สมยศ และ พล.ต.อ.เอก แซงในโค้งสุดท้ายคว้าเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ไปครอง
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องใหม่ หากนายตำรวจที่จะเป็น “แม่ทัพใหญ่สีกากี” จะมาจาก “หน.นรป.” เพราะประวัติศาสตร์ “กรมปทุมวัน” เคยมีตำรวจที่มาจาก “หน.นรป.” ขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” มาแล้วนั่นคือ “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” อดีต ผบ.ตร.
แม้การก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.วิเชียร จะไม่ได้ขึ้นจากเก้าอี้ “หน.นรป.” โดยตรง แต่ก็โยกมาจาก “หน.นรป.” ซึ่งครั้งนั้น พล.ต.อ.วิเชียร ขยับออกมาเป็นประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปฏิบัติหน้าที่ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติฝ่ายความมั่นคง) และเป็น ที่ปรึกษา (สบ 10) ก่อนมารักษาการแทน ผบ.ตร. และขึ้นเป็น ผบ.ตร.
พล.ต.อ.ไตรรัตน์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 35 ชีวิตราชการส่วนใหญ่เติบโตในสาย นรป. มาตลอด แต่ก็มีความรู้ความสามารถในเรื่องการบริหารงานเป็นอย่างดีและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายทหารระดับแกนนำกองทัพไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ เพราะเคยร่วมงานพบปะกันบ่อยครั้ง
จุดที่เป็นอุปสรรคของ พล.ต.อ.ไตรรัตน์ ในการขึ้นเป็น ผบ.ตร. ครั้งนี้ ก็ตรงที่มีอายุราชการเหลือถึงปี 2563 หรืออีก 6 ปี ซึ่งอาจจะนานเกินไป เพราะถ้า พล.ต.อ.ไตรรัตน์ ขึ้นดำรงตำแหน่งจริงๆ อายุราชการก็จะปิดหัวตำรวจระดับรองผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร. หลายคน
กระนั้นทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหาหากจะเลือก พล.ต.อ.ไตรรัตน์ เพราะคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎตามระเบียบในการขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” เช่นกัน
โค้งสุดท้ายศึกชิง “เก้าอี้ ผบ.ตร.” ปีนี้ ดูว่าต้องวัดกันถึง “ฎีกา” แน่นอน.