สน.พระอาทิตย์
ชักจะอย่างไรเสียแล้ว การเข้ามาปรับทัพจัดทิศ “กรมปทุมวัน” ของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. แทน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ที่ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
ด้วยเป้าหมายปรับภาพลักษณ์การทำหน้าที่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ให้กลับมาอยู่ในกฎ ในระเบียบ เป็นที่พึ่งประชาชนในกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ต้องกังวลปัจจัยบีบรัดให้เอนเอียง อิงแอบรับใช้ช่วยเหลือพวกพ้อง และผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง
แต่ผ่านมาเพียงไม่ถึง 3 อาทิตย์ดี ก็เริ่มมีคำถามการรับภารกิจครั้งนี้ของ “พล.ต.อ.วัชรพล” ว่า จริงจัง จริงใจ ในการเข้ามาปรับ “ภาพลักษณ์” ตำรวจมากน้อยแค่ไหน หรือเพียงแค่ “สร้างภาพ” ไปวันๆ กันแน่
เพราะคำสั่งแถวตรงล่าสุด ที่ พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง ผบก.ฝอ./รอง หน.ฝอ.ศปก.ตร. ลูกน้องคนสนิท พล.ต.อ.วัชรพล ทำหนังสือแจ้งเวียน “ห้ามตำรวจข้องแวะนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ” ตามคำสั่งที่ 0001 (ศปก.ตร.)/282
เนื้อหาระบุ “...เพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของ คสช. ในการบริหารราชการแผ่นดิน การดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย รวมทั้งลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างคนภายในชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ห้ามมิให้กำลังพลทุกนายเข้าพบปะสังสรรค์ และ/หรือร่วมกิจกรรมกับบุคคลที่ถูกเชิญตัว ภายหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว ตลอดจนนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ในการปฏิบัติงานไม่ให้ถูกมองได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด รวมทั้งเพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น”
เป็นความชัดเจนอยู่แล้วว่า พล.ต.อ.วัชรพล ต้องการปรับภาพลักษณ์ใหม่ตำรวจให้หันมาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง ไม่ต้องวิ่งไปหาหรือรับใช้นักการเมือง รับใช้ผู้มีอิทธิพล ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากสังคมทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่ตำรวจควรทำตั้งนานแล้ว
แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นไปอย่างที่หนังสือคำสั่งดังกล่าวออกมา เพราะยังมีนายตำรวจน้อยใหญ่ไปข้องแวะกับกลุ่มนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ และบุคคลที่ถูกเชิญตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่จำนวนไม่น้อย
โดยเฉพาะที่เห็นชัดๆ คือ การปรากฏภาพ พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย ผู้ช่วยนายเวร พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ไปทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ข้างกาย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะไปเดินชอปปิ้งที่ห้างโลตัส จนโลกออนไลน์นำภาพมาโพสต์กันสนั่นหวั่นไหว
และมีการตั้งคำถามกันว่า “พ.ต.อ.วทัญญู” หรือ “ผู้กำกับหนุ่ย” ขัดคำสั่งที่ 0001 (ศปก.ตร.)/282 ห้ามตำรวจข้องแวะนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งบุคคลที่ คสช. มีคำสั่งให้รายงานตัวหรือไม่
“พ.ต.อ.วทัญญู” ตามตำแหน่งแล้วเป็น ผู้ช่วยนายเวร ผบ.ตร.(พล.ต.อ.อดุลย์) และถูกขอตัวไปทำหน้าที่หัวหน้าชุดอารักขา “ยิ่งลักษณ์” สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามความเป็นจริงเมื่อ “ยิ่งลักษณ์” พ้นตำแหน่งแล้ว พ.ต.อ.วทัญญู ก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ ผู้ช่วยนายเวร ผบ.ตร. ตำแหน่งเดิม
นอกจากนี้ พ.ต.อ.วทัญญู ยังคงมีสถานะเป็น “ตำรวจ” อยู่ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้คำสั่งห้ามดังกล่าวไม่มียกเว้น นอกเสียจากลาออกจากราชการ ดังนั้น ภาพที่ปรากฏจึงถือเป็นการขัดคำสั่งชัดเจน เพราะ “ยิ่งลักษณ์” นอกจากเป็นนักการเมืองแล้ว ยังมีรายชื่อเป็นบุคคลที่ คสช. เรียกเขารายงานตัว ตรงตามคำสั่งห้ามดังกล่าว
แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่ภาพ พ.ต.อ.วทัญญู ปรากฏยังทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ออกคำสั่งห้ามดังกล่าว รวมทั้ง พล.ต.อ.วัชรพล ในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. กลับนิ่งเฉยไม่มีทีท่าจะดำเนินการอย่างไร
ทั้งๆ ที่ทุกองค์ประกอบผู้กำกับฯหนุ่ยขัดคำสั่งชัดเจน
การนิ่งเฉยของ พล.ต.อ.วัชรพล จึงดูจะขัดแนวนโยบาย คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ที่ต้องการให้ตำรวจดำเนินการตามกฎ ตามระเบียบ ตามข้อกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ
เพราะที่ผ่านมาในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเรืองอำนาจ เป็นแกนนำรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรี่ตากับ พ.ต.อ.วทัญญู นายตำรวจที่ใกล้ชิดมาตั้งแต่ครั้งเคยทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยดูแล คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งครอบครัวชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต่อมาด้วยการมาดูแลรักษาความปลอดภัยอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ อย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ครั้งขยับขึ้น รอง ผกก.ในตำแหน่ง ผู้ช่วยนายเวร พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. เพราะหลังจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิง พจมาน ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ไม่นาน ก็ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง “วทัญญู” จาก สว.(ร้อยเอ็ด) กก.2 บก.ส.1 เป็น ผู้ช่วยนายเวร ทั้งที่ในปีนั้นตำรวจระดับ รอง ผกก.-สว. ทั่วประเทศต่างตั้งหน้าตั้งตารอการแต่งตั้งโยกย้าย ที่ยืดเวลาจากวาระปกติออกไป แต่จู่ๆ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กลับเซ็นคำสั่งตั้ง “วทัญญู”
ที่สร้างความฮือฮามากสุดคงเป็นเมื่อครั้ง เข้าโรงเรียนผู้กำกับการ (ผกก.) รุ่น 92 ช่วงต้นปี 2556 เพราะตามคุณสมบัติการเข้าอบรมโรงเรียน ผกก. ต้องครองตำแหน่ง รอง ผกก. มาไม่น้อยกว่า 2 ปี บวกคะแนน 21 แต้ม (เป็นอย่างน้อย) แค่คุณสมบัติ พ.ต.อ.วทัญญู เพิ่งครองตำแหน่ง ผู้ช่วยนายเวร หรือเทียบเท่ารอง ผกก. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2555 นับถึงวันที่เริ่มเรียนวันที่ 18 ก.พ. 2556 ก็ดำรงตำแหน่งไปเพียง 1 ปี 10 วัน ไม่ถึง 2 ปี ตามกฎ ระเบียบ กติกา ที่กำหนดไว้
แต่สุดท้าย พล.ต.อ.อดุลย์ ก็ทำเรื่องขอยกเว้นหลักเกณฑ์การเข้าเรียนให้ พ.ต.อ.วทัญญู ต่อที่ประชุม ก.ตร. จนผู้กำกับฯหนุ่ยได้เข้าเรียน จากนั้นเมื่อเรียนจบ มีการแต่งตั้งโยกย้าย พ.ต.อ.วทัญญู ก็ขยับมาเป็น ผู้ช่วยนายเวร ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.อดุลย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่า ผกก.
ดังนั้น หากครั้งนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ยังหรี่ตา มองไม่เห็นการขัดคำสั่งของ พ.ต.อ.วทัญญู ก็ไม่ต่างอะไรจากช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจ คุ้มครองตำรวจของตัวเองให้อยู่เหนือตำรวจรายอื่นๆ ได้แล้ว
ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน ที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ “ตำรวจ” ให้กลับคืนมาก็ไม่ต้องไปเพรียกหาให้ป่วยกาล.