อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “จิรายุ” ไม่หมิ่น “เกียรติ สิทธีอมร”

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง “จิรายุ ห่วงทรัพย์” อดีตรองโฆษกเพื่อไทยแถลงข่าว-โชว์ภาพถ่ายนิตยสาร “เกียรติ สิทธีอมร” ถ่ายคู่เจ้าของบ้านเช่า คดีตำรวจจับกุมยาเสพติด ชี้ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง

ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (23 พ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.313/2555 ที่นายเกียรติ สิทธีอมร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ และประธานผู้แทนการค้าไทย เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีต ส.ส กทม. และอดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 22-23 ม.ค. 2555 จำเลยได้นำภาพถ่าย น.ส.จริญญา หาญณรงค์ เจ้าของบ้านที่มีการจับกุมยาเสพติด ซึ่งถ่ายคู่กับโจทก์ลงหน้าปกนิตยสาร WHO ฉบับเดือน ก.ย. 2554 มาแถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าโจทก์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่จะต้องถูกตรวจสอบ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม.และทั่วราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตามกฎหมายและให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาและขอโทษโจทก์ในหนังสือพิมพ์ 7 วัน

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2556 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่า การแถลงข่าวของจำเลย ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าตัวโจทก์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่กล่าวให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินเจ้าของบ้านเช่า เมื่อบ้านดังกล่าวถูกตรวจค้นและพบว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่เพียงพอ ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี

ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า แม้การแถลงข่าวจำเลยไม่ได้กล่าวถึงชื่อ-สกุลโจทก์ โดยระบุเพียงนักการเมืองซีกฝ่ายค้าน แล้วนำภาพที่โจทก์ถ่ายคู่กับ น.ส.จริญญา ในนิตยสาร WHO มาแสดงประกอบ ก็อาจทำให้ผู้สื่อข่าวและประชาชนเข้าใจว่าหมายถึงตัวโจทก์ แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงข้อความแถลงส่วนอื่นประกอบแล้ว เห็นว่าจำเลยได้กล่าวในลักษณะตั้งข้อสังเกตแสดงความสงสัย แต่ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านเช่า หรือผู้ให้เช่าบ้านที่มียาเสพติด ซุกซ่อน โดยจำเลยแถลงขอให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าของบ้าน ขณะที่ไม่ปรากฏว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้เรียกให้โจทก์ หรือนางจริญญา เข้าไปตรวจสอบ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสดงความคิดเห็น ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ภายหลังทนายความนายจิรายุกล่าวว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องแล้ว ตามกฎหมายคดีมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง เว้นแต่จะต้องขออนุญาตฎีกา จึงไม่ทราบว่าโจทก์ยังจะดำเนินการดังกล่าวหรือไม่