ทนายกปปส.ยื่นคำร้องเพิ่มขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้รัฐบาลหยุดใช้กำลังและอาวุธสลายกลุ่มผู้ชุมนุมหลังตำรวจขอคืนพื้นที่ทำให้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บกว่าครึ่งร้อย
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (18 ก.พ.) นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความนายถาวร เสนเนียม แกนนำกปปส. ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยและมีคำสั่งให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะรองผอ.ศรส. จำเลยในคดีฟ้องเพิกถอนพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หยุดการฝ่าฝืนคำสั่งการคุ้มครองชั่วคราวในคดีดังกล่าวเป็นการด่วน
โดยคำร้องระบุว่า ศาลแพ่งได้นัดฟังคำพิพากษาคดีฟ้องเพิกถอนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 19 ก.พ.นี้ เวลา 15.00 น. และคดีนี้ศาลเคยมีคำสั่งในตอนท้ายของการพิจารณาการคุ้มครองชั่วคราวกรณีฉุกเฉินไว้ว่า การดำเนินการตามมาตรการอื่นๆ ให้เป็นไปโดยสุจริต เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติและไม่เกินกว่าเหตุหรือความจำเป็น แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้เป็นต้นมา จำเลยทั้งสามดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากมีแก๊สน้ำตา อาวุธปืนออกมาสลายการชุมนุม แม้อ้างว่าเป็นการขอคืนพื้นที่และไม่สลายการชุมนุมก็ตาม แต่มีการใช้กำลังตำรวจที่มีแก๊สน้ำตาและอาวุธโดยเฉพาะที่สะพานผ่านฟ้า ที่แม้มีทีมเจรจาเข้ามาขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินทั้งหมดคืน แต่ระหว่างปรึกษาหารือกันปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังทั้งหมดเข้ามาล้อมผู้ชุมนุมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยไม่รอผลเจรจาและทำการรื้อแผงกั้น เต๊นท์ที่พักอาศัยพร้อมทั้งยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมที่นั่งสวดมนต์ หลังจากนั้นยังมีทั้งเสียงปืน อาวุธสงครามและระเบิดจำนวนมากมาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำลายเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า โดยประชาชนผู้ชุมนุมไม่ได้ต่อสู้ใดๆ ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 44 ราย รวมทั้งมีการจับกุมผู้ชุมนุมไปอีก 144 ราย จึงเป็นกรณีที่เห็นว่าจำเลยทั้ง 3 และเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำการเกินกว่าเหตุและความจำเป็น ซึ่งโจทก์ได้นำพยานที่เห็นเหตุการณ์ 3 ปาก มาเพื่อให้ศาลสอบถามประกอบคำร้อง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามและเจ้าหน้าที่หยุดการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมหรือขอคืนพื้นที่ทั้งหมด
ต่อมาศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา หากมีการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองตามที่โจทก์อ้างจำเลยทั้งสามย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีจึงไม่จำเป็นต้องสอบถามข้อเท็จจริงอีก
นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทีมทนายความ กล่าวว่า แม้ศาลจะไม่ได้ให้ไต่สวนพยานและไม่ได้มีคำสั่งชัดเจนให้จำเลยทั้งสามหยุดการกระทำดังกล่าว แต่ศาลได้ระบุไว้แล้วว่าหากกระทำการที่เกินกว่าเหตุย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมายพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 17 ส่วนการฟ้องคดีหลักที่ของให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะเห็นว่า นายกฯกับพวกดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น ต้องรอฟังคำพิพากษาในวันพรุ่งนี้เวลา 15.00 น.
นายสวัสดิ์ กล่าวว่า เหตุที่ต้องมายื่นคำร้องเพิ่มเพราะวันนี้ทางศรส.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจำนวนมาก มีทั้งแก๊สน้ำตาและปืน โดยอ้างจะขอคืนพื้นที่หรือเปิดการจราจร แต่พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้กระทำนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นว่า เป็นการใช้กำลังที่น่าจะฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาล ที่ให้ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมสุจริต และไม่เกินกว่าเหตุ ครั้งแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเจรจาขอเปิดพื้นที่เพื่อการจราจร ซึ่งแกนนำก็ได้มีการเปิดพื้นที่ให้แล้วแต่ปรากฏว่า รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค2 ย้อนกลับมาขอเจรจาเพื่อเปิดพื้นที่การจราจรทั้งหมด ทางกลุ่มผู้ชุมนุมจึงขอกลับไปปรึกษากับแกนนำ โดยระหว่างที่มีการเจรจากัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเต็มพื้นที่ และใช้แก๊สน้ำตาในขณะที่ผู้ชุมนุมนั่งสวดมนต์อยู่ ต่อมาก็มีเหตุการณ์ใช้อาวุธปืน ดังนั้นทางกลุ่มกปปส.จึงมาร้องโดยนำข้อเท็จจริงมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลก็ได้มีคำสั่งว่าศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้วหากมีการฝ่าฝืนจำเลยทั้งสามต้องรับผิดชอบ ซึ่งหลังจากนี้กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำโดยฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลหรือไม่ ส่วนการดำเนินคดีอาญาก็จะหารือกันก่อนว่าจะฟ้องในข้อหาใดบ้าง โดยอาจจะเป็นข้อหาปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ตามป.อาญามาตรา 157
ขณะที่นายสวัสดิ์ยังกล่าวถึงการยื่นคำแถลงปิดคดีที่ฟ้องเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ตามที่ศรส.มีการอ้างเหตุว่าศาลแพ่งเคยมีคำวินิจฉัยในคดีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยและโฆษกพรรคฯ ฟ้องรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศาลได้มีคำวินิจฉัยว่าการประกาศเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารนั้น เราก็ได้ยื่นคำแถลงผิดคดีโต้แย้งในประเด็นนี้ว่า ข้อเท็จจริงในเหตุการณ์มีความแตกต่างกัน เพราะในการชุมนุมของกลุ่มนปช.ครั้งนั้น ได้พบว่ามีการก่อเหตุร้ายแรงในหลายพื้นที่ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2553 เกี่ยวกับความขัดแย้งของรัฐธรรมนูญต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ด้วยว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากตามพ.ร.ก.ดังกล่าว ผู้ได้รับความหายอาจนำคดีเข้าสู่กระบวนการของศาลยุติธรรมได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 218 รวมทั้งมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาตรา17 ดังนั้นหากเราไม่สามารถยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลแพ่งก็คงจะไม่รับเรื่องไว้วินิจฉัยตั้งแต่แรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลแพ่งได้มีคำสั่งเรื่องคุ้มครองชั่วคราว โดยระบุนอกจากที่จะห้ามเจ้าหน้าที่อายัดเครื่องอุปโภคบริโภคที่ใช้ในการชุมนุมแล้ว ยังระบุด้วยว่าประกาศและข้อกำหนดอื่นๆ ให้จำเลยทั้งสามกระทำการไปโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งต้องปฏิบัติตามประกาศและข้อกำหนดนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับคดีฟ้องเพิกถอนพ.ร.ก.ฉุกเฉินดังกล่าว ก่อนหน้านี้ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์และจำเลยรวมทั้งสิ้น 15 ปาก โดยฝ่ายโจทก์นำพยานขึ้นเบิกความรวม 4 ปาก ประกอบด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ , นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เบิกความเกี่ยวกับประเด็นที่รัฐบาลออกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่มีเหตุจำเป็นตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง
ขณะที่ฝ่ายจำเลยนำพยานขึ้นเบิกความรวม 11 ปาก อาทิ นายชวลิต พิชาลัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน , พ.ท.สิทธิพร เจริญพุฒ รองผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษ ดีเอสไอ , พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์บริรักษ์กุล ผบก.น.1 , พ.ต.อ.กิตติคุณ พูลสมบัติ รอง ผบก.น.2 , พ.ต.อ.สาโรช ซุ่นทรัพย์ รอง ผบก.น.4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับรอง ผบก.น พื้นที่ต่างๆ เบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมแต่ละช่วง รวมทั้ง ผอ.กลุ่มงานกฎหมาย สมช.เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเสนอแนะมาตรการต่างๆกับ ศรส.
ทั้งนี้ภายหลังจากที่ศาลได้สืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ศาลได้นัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 19 ก.พ.นี้ เวลา 15.00 น.