xs
xsm
sm
md
lg

บช.ก.ยกระดับ “ไอ้ติ๊งต่าง” ฆาตกรรมต่อเนื่องตัวพ่อ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง
ผบช.ก.ขอความร่วมมือเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ดูแล “ไอ้ติ๊งต่าง” ผู้ต้องหาคดีข่มขืนเด็กเป็นกรณีพิเศษ เกรงถูกรุมกระทืบตาย ใช้เป็นคดีศึกษาตามหลักการทำคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ประสานผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศร่วมทำคดี‏

วันนี้ (24 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับนายหนุ่ย หรือ ติ๊งต่าง ไม่มีนามสกุล ผู้ต้องหาข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าเด็กหญิงอายุ 6 ปี ซึ่งรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวกับเด็กหญิงอีกหลายรายว่า จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีดังกล่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด ทำให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ทั้งจาก บช.น. บช.ก.และตำรวจภูธรภาคที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เคยก่อเหตุมานั้นต้องดำเนินการเฉพาะในส่วนที่หน่วยตนเองรับผิดชอบ จึงยังไม่มีการบูรณาการข้อมูลคดีทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนเป็นระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของ บช.ก.โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่คุมขังผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวน เพื่อประสานขอการดูแลผู้ต้องหาเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาอาจถูกทำร้าย หรือมีแนวโน้มทำร้ายตัวเอง เนื่องจากภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นจากคดีดังกล่าว โดยขอให้ทางเรือนจำพิจารณาแยกตัวผู้ต้องหาไปควบคุมตัวต่างหาก และให้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ยังได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.เพื่อขอเสนอแนวทางการสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยสรุปใจความสำคัญได้ว่า เนื่องจาก บช.ก.ได้มีการจัดตั้งหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งเคยสืบสวนคดีฆาตกรต่อเนื่องมาแล้วหลายคดี ขณะนี้กำลังพัฒนาหน่วยให้เป็น Profiling Unit และเมื่อเกิดคดีดังกล่าวขึ้น ก็ได้นำข้อมูลคดีไปหารือกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศเห็นตรงกันว่า คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชีย ที่มีเค้าโครงสมบูรณ์เช่นคดีนี้ มีอยู่น้อยจึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ศึกษา เรียนรู้ และได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อวงการตำรวจไทย สังคมไทย และสังคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพฤติกรรมผู้ต้องหาที่ตรงตามหลักเหยื่อวิทยา เริ่มตั้งแต่พบเหยื่อ จูงเหยื่อ ข่มขืน ฆ่า และนำศพไปทิ้ง ซึ่งสามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาได้ว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมล่าเหยื่อและดื่มด่ำกับเหยื่ออย่างไร

หนังสือดังกล่าวระบุว่า จากเหตุผลดังกล่าวจึงมีข้อเสนอให้พิจารณาหยุดการสืบสวนสอบสวนที่ไม่จำเป็นตามข้อกฎหมาย หรือหยุดรบกวนพยานหลักฐานต่างๆ ทันที เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายหลักฐานที่มีอยู่ โดยขอยืนยันว่าคดีนี้ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดทำอย่างร้อนรนจนทำลายโอกาสที่ดี อีกทั้งการสืบสวนนั้นไม่จำเป็นต้องหาพยานหลักฐาน จากสถานที่เกิดเหตุเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังเห็นควรให้ประสานผู้เชี่ยวชาญคดีจากต่างประเทศมาร่วมดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาวงการตำรวจให้เป็นมืออาชีพ ตามนโนบายของ ผบ.ตร.ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น