โฆษก ศอ.รส.แถลง ศอ.รส.ขออนุมัติหมายจับจากศาล จับกุมแกนนำม็อบ 6 รายเพิ่มเติม ด้าน “ทนายพวงทิพย์” ยื่นคำร้องขอคัดค้านการออกหมายจับต่อศาลทันที
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนไปปิดล้อม บุกยึดสถานที่ราชการต่างๆ ทั้งในพื้นที่ สน.บางซื่อ สน.สำราญราษฎร์ และสน.พญาไท เบื้องต้น พนักงานสอบสวนแต่ละพื้นที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพข่าวสื่อมวลชน คำให้การของพยานเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคารสถานที่และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกระทรวงการต่างประเทศ ขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายสำราญ รอดเพชร, น.ส.อัญชลี ไพรีรัก กรณีปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย ข้อหาปลุกปั่นให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน พร้อมเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว น.ส.อัญชลี และนายสำราญ คดีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2551, นายนิติธร ล้ำเหลือ, นายอุทัย ยอดมณี และนายรชตชยุต ศรีโยธินศักดิ์ กรณีบุกยึดกระทรวงการต่างประเทศ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป บุกรุกและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ขณะที่ความผิดในลักษณะเดียวกัน เช่น บุกยึดกรมประชาสัมพันธ์ ศาลากลางจังหวัดต่างๆ ให้ดำเนินการขอหมายจับในลักษณะเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ศอ.รส.ยังยึดหลักการเจรจาเพื่อขอคืนพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามลำดับขั้นตอนสากล ไม่ใช้ความรุนแรง แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร และมีหน่วยงานราชการ อาทิ ศูนย์ราชการ ดีเอสไอ ขอกำลังตำรวจดูแลเพิ่มเติม ส่วนเหตุการปิดล้อมรถตำรวจปราบจลาจลจำนวน 15 คัน เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น ขอชื่นชมกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นนักเรียนอาชีวะที่ใช้การเจรจา และชื่นชมตำรวจผู้น้อยที่ใช้ความอดทนอดกลั้นทำให้สถานการณ์ผ่านไปด้วยดี
นอกจากนี้ โฆษก ศอ.รส.ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ตำรวจเตรียมนำกำลังไปจับกุมตัวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่มต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่าการดำเนินการของตำรวจจะคำนึงถึงสถานการณ์บานปลายเป็นหลัก ซึ่งคดีบุกรุกปิดล้อมมีอายุความ 10 ปี ตำรวจจึงไม่มีความจำเป็นต้องเร่งสถานการณ์ แต่หากแกนนำจะมอบตัวด้วยตัวเองสามารถเข้ามอบตัวได้ทุกสถานีตำรวจ
ขณะเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ได้นำหลักฐานมายื่นคำร้องขออนุมัติออกหมายจับนายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษาเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), นายอุทัย ยอดมณี, นายรัชตชยุต ศรีโยธินศักดิ์ และนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท.ในข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ โดยใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืนฯ,มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ และทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 215 ,365 และมาตรา 358 กรณีบุกรุกกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ประตูเลื่อนไฟฟ้าเสียหาย 4 บานเสียหาย
ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความที่ได้รับมอบอำนาจจากนายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท.ได้เดินทางมายื่นคัดค้านการขอหมายจับ โดยขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอออกหมายจับ กรณี คปท.เข้าไปชุมนุมบริเวณสนามหน้ากระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากมีเจตนาเข้าไปเพื่อแสดงให้นานาประเทศปฏิเสธนิติสัมพันธ์ใดๆ กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐบาลที่หมดความชอบธรรม โดยข้าราชการยังสามารถทำงานและเข้าออกได้ตามปกติไม่มีผู้ชุมนมคนใดเข้าไปในตัวอาคาร ไม่มีเจตนาทำลายทรัพย์สิน อีกทั้งได้ทำความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย และเคลื่อนขบวนกลับไปที่บริเวณหน้าสนามม้านางเลิ้งแล้ว พนักงานสอบสวนควรดำเนินการมีหมายเรียกไปที่ภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้าน หรือนำมาส่งให้ที่ชุมนุมซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายเคยเข้ามาเจรจาและส่งหนังสือหลายครั้ง
ซึ่งขณะนี้คำร้องขอหมายจับอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เช่นเดียวกับคำคัดค้านการออกหมายจับ
น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความของนายนิติธร เปิดเผยว่า ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอคัดค้านหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมนำพยานหลักฐาน มามอบต่อศาลเพื่อจะแสดงให้ศาลเห็นว่า ทั้ง 4 คน ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และการเข้าไปภายในกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อไปแสดงให้ต่างประเทศเห็นว่ารัฐหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ไม่ได้เข้าไปทำให้เกิดความเสียหาย และได้เดินทางออกจากกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้นัดฟังคำสั่งว่าจะอนุมัติหมายจับหรือไม่ เวลาประมาณ 15.00 น.
ต่อมา เมื่อเวลา 15.00 น. ภายหลังศาลพิจารณาคำร้องขอหมายจับแกนนำกลุ่ม คปท. จำนวน 4 คน ของพนักงานสอบสวน และคำร้องคัดค้านของทนายความแล้ว จึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้อง ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ด้านน.ส.พวงทิพย์ ทนายความกล่าวว่า การไต่สวนหมายจับ ตนได้เตรียมเอกสารเป็นภาพถ่ายและหนังสือของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาเจรจากับแกนนำ คปท.ในพื้นการชุมนุม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตำรวจสามารถออกหมายเรียกได้โดยไม่ต้องออกหมายจับ
