ฎีกายืนประหารชีวิต “รอสดี มะยามา” ร่วมปล้นปืนค่ายทหารกองพันพัฒนา ที่ 4 และแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 15 พ.ย.2556 ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.1450/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายรอสดี มะยามา ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ที่ จ.นราธิวาส เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นกบฏ ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักร, สะสมกำลังพลหรืออาวุธ, ใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต, ปล้นทรัพย์หรือรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 113, 114, 135/1-2, 209, 210, 212, 213, 340 และ 357
โดยโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2551 สรุปว่า จำเลยกับพวกอีกหลายคนเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนของราชอาณาจักรไทย จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.นราธิวาส จ.สตูล และ อ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ออกจากการปกครองของรัฐบาลประเทศไทย เรียกว่า “รัฐปัตตานี หรือรัฐปัตตานีดารุลซาลาม” โดยมีแผนการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ อย่างรุนแรง และต่อเนื่อง สะสมกำลังพล และอาวุธ ทำการโฆษณาชวนเชื่อยุยง และปลุกระดมราษฎรให้หลงเชื่อเกิดความรู้สึกเกลียดชังข้าราชการ และรัฐบาลไทย สร้างแนวคิดเข้าสู่กลุ่มเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมตามโรงเรียนปอเนาะ และโรงเรียนอื่นๆ ก่อเหตุรุนแรงหลายครั้งทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินของรัฐ และเอกชน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชนเกิดความหวาดกลัว เหตุเกิดที่ทุกตำบล และอำเภอในปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และ อ.สะเดา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เกี่ยวพันกัน
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2552 ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 113 (3), 114, 135/1 วรรคสอง, 135/2, 209 วรรคแรก, 210 วรรคสอง, 212(2) (3), 213 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งแยกดินแดน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 113 (3) ฐานเป็นกบฏ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้ประหารชีวิต แต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 แล้วคงให้จำคุกตลอดชีวิต ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ค.54 ยืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิตจำเลยฐานเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน และเป็นอั้งยี่ แต่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยฎีกาสู้คดี
ศาลฎีกาตรวจสำนวน และประชุมกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานเป็นทหารตำแหน่งหัวหน้าส่วนปฏิบัติการศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จังหวัดปัตตานี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.51 เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ได้ส่งตัวจำเลยมาที่ค่ายอิงคยุทธฯ เพื่อให้พยานซักถามจำเลย โดยจำเลยรับว่า เป็นสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนด้วยการชักชวนจาก นายมะซูกี เซ็ง และได้รับมอบหมายให้จำเลยร่วมกับกลุ่มสมาชิกไปปล้นอาวุธปืน ค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 โดยจำเลยทำหน้าที่ตัดต้นไม้เพื่อขวางเส้นทางจราจร นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษซึ่งรับคดีนี้ไว้เป็นคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหา และทำการสอบสวนจำเลย 3 ครั้ง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพโดยตลอด ที่จำเลยนำสืบว่ามีการข่มขู่ และทำร้ายทำให้จำเลยต้องยอมรับสารภาพนั้น คงมีแต่ตัวจำเลยเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความตลอดจนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนแล้วรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยร่วมกันวางแผน และดำเนินการเพื่อแบ่งแยกดินแดน และยึดอำนาจปกครองดังเช่นที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษา ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ศาลได้อ่านคำพิพากษาให้อัยการโจทก์ฟังเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ ได้เบิกตัวนายรอสดี จำเลย ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางสงขลา มาฟังคำพิพากษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา