สน.พระอาทิตย์
ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาที่จู่ๆตำรวจจะลุกขึ้นมาสวมเฮดการ์ด ใส่เสื้อเกราะ ป้องกันตัวเองอย่างแน่นหนาในสถานการณ์การดูแลการชุมนุมประท้วง ถึงขนาดยอมทิ้งศักดิ์ศรีให้สังคมปรามาสว่า “หัวหด” ด้วยการออกมาตรการแนวทางการปฏิบัติกรณีมีการชุมนุมรอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง รองหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(รอง หน.ฝอ.ศปก.ตร.) เรียก ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ(ผกก.ฝอ.) แต่ละหน่วยงานที่มีที่ตั้งอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาประชุมหารือ พร้อมวางแนวทางปฏิบัติกรณีการชุมนุมเรียกร้องบริเวณรอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติและให้ทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดทราบ 5 แนวทาง
1.กรณีมีการปิดถนนพระราม 1 และถนนอังรีดูนังให้ใช้ประตูทางเข้า-ออก ด้านอาคาร 25 (กองทะเบียนประวัติอาชญากรรม)แทน
2.ให้ข้าราชการตำรวจทุกนายหลีกเลี่ยงการแต่งเครื่องแบบออกนอกบริเวณสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากมีกลุ่มที่ไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ
3.การสนับสนุนกำลังให้ข้าราชการตำรวจหญิงดูแลที่ตั้งส่วนข้าราชการตำรวจชายให้เตรียมพร้อมสนับสนุน กรณีมีการร้องขอ
4.การปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาความปลอดภัยสถานที่ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเคร่งครัดหากมีเหตุการณ์ให้รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบโดยด่วน
5.ให้ฝ่ายส่งกำลังบำรุงฯ สำรวจสถานภาพเครื่องดับเพลิงว่าสามารถใช้งานได้จำนวนเท่าใด และแจ้งให้ฝ่ายธุรการและกำลังพลฯ ทราบเพื่อสนับสนุนให้หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)หรือกลุ่มเสื้อเหลือง ชุมนุม หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.)หรือกลุ่มเสื้อแดง ชุมนุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่ได้มีการออกแนวทางการปฏิบัติให้กับตำรวจเช่นนี้
และที่สำคัญพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.รส.ก็ได้ส่งกำลังดูแลฐานบัญชาการตำรวจอย่างเต็มที่ด้วยการสั่งให้ พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลพล.ต.ต.ทวิพงศ์ พงษ์สูงเนิน ผบก.ส.3 และ พ.ต.อ.รังสรรค์วรรณศรี ผกก.ส.3ซึ่งกำกับดูแลด้านความปลอดภัยและรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ตร.
จัดเตรียมรถดับเพลิงรั้วลวดหนามมากันด้านหน้าทางประตูเข้าออกด้านถนนพระราม 1 และด้านถนนอังรีดูนังต์รวมทั้งให้ตำรวจสันติบาลเพิ่มความเข้มในการตรวจตรายานพาหนะและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นอกจากนี้ยังได้เสริมกำลังกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนจากตำรวจสันติบาล ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) จาก จ.อุดรธานี และ ตชด.11 จาก จ.จันทบุรี รวม 2 กองร้อย ทั้งสิ้นกว่า 600 นาย เข้ามาเป็นกำลังเสริมดูแลความปลอดภัยในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกขั้นหนึ่ง
แต่ศปก.ตร.กลับออกแนวทางให้ตำรวจในสังกัดปฏิบัติถึงขนาดให้หลีกเลี่ยงการแต่งเครื่องแบบเวลาออกนอกรั้วรวมทั้งให้เตรียมรถดับเพลิงไว้สำรองยามฉุกเฉิน ซึ่งแตกต่างจากม็อบที่ผ่านมาเหมือนมีนัยยะยอมรับกลายๆว่า
การปฏิบัติงานของ“ตำรวจ”ต่อการชุมนุมครั้งนี้ไม่ถูกต้องเหมาะสมเพียงแต่ต้องทำตามหน้าที่ ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงาน
ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติงานของตำรวจในช่วงม็อบเหลือง หรือม็อบแดงส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นม็อบการเมือง มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ตำรวจเข้ามาทำตามหน้าที่ค่อนข้างถูกต้องเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยบ้านเมืองประชาชนก็เข้าใจในความลำบากต่อการทำงานของตำรวจ ที่รับไม่ได้ก็เป็นเหตุการณ์ 7ตุลาฯที่ตำรวจสั่งฆ่าประชาชนเท่านั้น
แต่พอมาถึงการชุมนุมกลุ่มต่อต้านพ.ร.บ.ล้างผิดเหมาเข่งซึ่งเสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ทั่วทุกหัวระแหง ต่างอออกมาต่อต้าน กันทั่วหน้ามีผู้คนตั้งแต่ระดับ ราชนิกุล ราชสกุล หมอ พยาบาล ทนายความ ครู อาจารย์มหาวิทยาลัย นักธรกิจ พ่อค้า ประชาชน ต่างพร้อมใจกันคัดค้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมลักหลับกันมืดฟ้ามัวดิน
อย่างไรก็ตามการเตรียมการป้องกันตัวเองก็พอเข้าใจได้ เพราะการทำหน้าที่ของตำรวจแม้จะเป็นการทำตามหน้าที่ ซึ่งต้องดูแลความสงบเรียบร้อยและเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายบ้านเมืองแต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเกลียดชัง และตกเป็นจำเลยสังคมการเตรียมแนวทางในการป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ยามนี้
แต่ปัญหาความเกลียดชังตอนนี้ที่ผลักให้ตำรวจอยู่ในสภาพเสื่อมศรัทธาและอาจจะไม่ปลอดภัยเข้าสักวันนั้น มันไม่ใช่เพราะผลสะเทือนจากการทำงานตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติงานในสถาการณ์ม็อบในช่วงผบ.ตร.คนนี้ทำให้ทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตรพอใจมากตั้งแต่ม็อบเสธ.อ้ายจนถึงม็อบในวันนี้แต่ก็ทำให้ประชาชนเกลียดชังเพราะเอาใจรับใช้นักการเมืองแต่ทำร้ายประชาชนและผลาญงบเงินแผ่นดินเพื่อมารักษาอำนาจให้ยิ่งลักษณ์ตอแหลสุดซอยไปวันๆ
เมื่อตำรวจรู้ตัวว่าประชาชนกำลังจะเห็นตำรวจเป็นฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อีกต่อไปทางที่ต้องทำมากกว่าเอาอาวุธและกำลังมาป้องกันตัว คือต้องเลิกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองเลิกเป็นทาสทักษิณ เสียแต่ตอนนี้ กลับมาเป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริง
หากมีคำสั่งใดๆจากฝ่ายการเมืองที่ให้ดำเนินการสลายการชุมนุมหรือจับกุมผู้ชุมนุมที่บางครั้งอาจจะกระทำเกินเลยไปบ้าง แบบที่ได้ตั้งใจหรือเป็นความผิดร้ายแรง ชนิดนักหนาสาหัส “ตำรวจ” ก็ต้องใช้ดุลพินิจในการดำเนินการ
ไม่ใช่เพียงแค่ก้มหน้ารับคำสั่งเพื่อสนองนโยบาย ในลักษณะเอาใจ จนไม่คำนึงถึงประชาชนเพราะต้องนึกไว้เสมอเงินภาษีทุกบาท ทุกสตางค์ ที่ตำรวจได้รับในแต่ละเดือน ล้วนเป็นเงินภาษีประชาชน หาใช่เงินจากนักการเมืองขี้ฉ้อหรือรัฐบาลขี้โกง
เมื่อ”ตำรวจ”ตระหนักรับรู้เช่นนี้ได้แล้วและปฎิบัติออกมาให้ประชาชนเห็นว่าตำรวจมีความยุติธรรม และยืนเคียงข้างประชาชน แนวทางการป้องกันตัวเอง ชนิด “หัวหด”จนเสียศักดิ์ศรีความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็ไม่จำเป็นต้องออกมาให้สังคมดูถูกดูแคลน
ถ้าตำรวจไม่ทำร้ายประชาชนแล้วก็เชื่อว่า ไม่มีประชาชนคนใดกล้าไปทำร้ายตำรวจ