เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการ – จากปรากฏการณ์ร้อนแรงของสถานการณ์การเมืองไทยที่ผ่านมาจนถึงการประกาศยุบสภาในที่สุด สื่ออัลญะซีเราะฮ์ได้สะท้อนมุมมองร่วมกับ สุนัย ผาสุข ผู้ประสานงานฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทย ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ สื่อสารมวลชนของไทย
การประท้วงของม็อบต้านรัฐบาลที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกนั้น กลุ่มผู้ประท้วงได้เดินสายไปเยี่ยมสถานีโทรทัศน์ทั้ง 6 แห่ง เพื่อเรียกร้องให้ทางสถานีออกอากาศข้อเรียกร้องของพวกเขา ซึ่งสถานีโทรทัศน์ 5 แห่งยอมทำตามความประสงค์
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น เป็นน้องสาวของอดีตผู้นำไทยที่ถูกยึดอำนาจในปี 2006 ทักษิณ ชินวัตร ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเสมือนแม่เหล็กสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีช่องหนึ่งของไทย
ในปี 2010 กลุ่มผู้สนับสนุนของทักษิณ ชินวัตร ได้ทำการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้เขาเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ ทักษิณนั้นอยู่ในระหว่างการหลบหนี แต่ยังสามารถใช้สื่อในการส่งข้อความมายังประเทศไทย และเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของเขาออกลงเดินบนท้องถนนได้
และในปีนี้ กลุ่มม็อบ กปปส.ได้ออกลงเดินท้องถนนในกรุงเทพฯ และกล่าวหาว่า ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงหุ่นเชิดของพี่ชาย นี่เป็นอีกหนึ่งหัวเลี้ยวหัวต่อในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีปรากฏการณ์ของสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีในประเทศถูกกลุ่มผู้ประท้วงกดดันให้รายงานข้อมูลจากมุมมองของกลุม ซึ่งถือว่าในสถานการณ์วิกฤตทางการเมืองไทยในภาวะที่สื่อสารมวลชนเลือกข้างมีบทบาทอย่างยิ่ง
สถานีโทรทัศน์ช่องหลักของไทย 6 แห่งภายใต้การกำกับของรัฐและรวมไปถึงอีก 48 แห่งที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ สุนัย ผาสุข เผยว่า สื่อสารมวลชนมักตกเป็นเป้าหมายในการขัดแย้งทางการเมืองจากขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือจากทั้ง 2 ขั้วการเมืองในบางครั้ง เพราะสื่อเองก็มีการแบ่งเป็นขั้วทางการเมืองที่ชัดเจนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในการประท้วงครั้งนี้ที่ผู้นำการประท้วง สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้นำผู้ประท้วงตระเวณไปกดดันสถานีโทรทัศน์ช่องหลักของประเทศ เพื่อเรียกร้องให้หยุดการนำเสนอข้อมูลจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และให้ทางสถานีรายงานข้อมูลการประท้วงจากมุมมองของผู้ชุมนุมให้มากขึ้น
ด้าน ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของสุเทพในการนำขบวนไปกดดันสื่อในครั้งนี้เป็นเพราะทางม็อบต้านเห็นว่าการนำเสนอข้อมูลสู่สาธารณะไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายตน เหตุเพราะสื่อส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ
ทิม ฟอร์ซีธ แห่ง London School Of Economics ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่มีการเลือกตั้งทั่วไปของไทยในปี 2011 เห็นได้ชัดว่าฝ่ายเสื้อเหลืองได้รอคอยมาตลอดถึงวันที่ยิ่งลักษณ์จะนำทักษิณ พี่ชายของเธอกลับเข้าประเทศ ซึ่งในที่สุดยิ่งลักษณ์ก็ใช้ความพยายามล่าสุดในการเข็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกมา จนทำให้กลุ่มเสื้อเหลืองออกลงเดินถนน และการประท้วงที่เดินดาวกระจายไปตามจุดต่างๆ นั้น ส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทย รัฐบาลไทย และสื่อไทยเป็นอัมพาตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผมคิดว่าการที่กลุ่มม็อบได้เดินทางไปกดดันสื่อโทรทัศน์ เพื่อต้องการส่งสารของพวกเขาไปยังทั่วประเทศและต้องการให้มีผลกระทบครอบคลุมมากที่สุดในความเห็นของผม”
และ สุนัย กล่าวต่อไปว่า สื่อไทยนั้นถูกแบ่งข้างอย่างชัดเจนด้วยสีเสื้อ ที่ฝ่ายหนึ่งมอง ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ประเทศมีความทันสมัยในสายตาของคนเสื้อแดง ในขณะที่อีกฝ่ายซึ่งเป็นคนเสื้อเหลืองกลับมองว่าอดีตผู้นำของไทยคนนี้เป็นศัตรูของประเทศตัวฉกาจเท่าที่เคยมีมาและท้าทายอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการเลือกข้างของสื่อมีผลเป็นอย่างมากในการขัดแย้งทางการเมืองไทย
ส่วน พิรงรอง เผยต่อว่า จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งที่เกิดจากขั้วทางการเมืองพยายามสถาปนาอำนาจผ่านสื่อ จะเห็นได้ว่าช่องเคเบิลทีวี Blue Sky นั้น มีความสนิทแนบแน่นกับพรรคประชาธิปัตย์ และสถานีเคเบิล Voice Tv ที่มีครอบครัวชินวัตรเป็นเจ้าของ
ส่วน เวย์น เฮย์ ผู้สื่อข่าวของสื่ออัลญะซีเราะฮ์เปิดเผยว่า ปรากฏกาณ์นี้ได้แพร่ไปทั่วประเทศที่บรรดาสื่อท้องถิ่นจะดำเนินรายการโดยมีความเชื่อมโยงถึงขั้วการเมืองที่ให้การสนับสนุน ซึ่งการออกอากาศจะส่งสารในมุมมองของขั้วการเมืองของกลุ่มตนไปให้กลุ่มสนับสนุน และในขณะเดียวกันได้วิพากษ์ฝ่ายตรงข้ามไปด้วย
และพบว่าในสายตาของสื่อจากทั่วโลกที่มองเข้ามายังไทยนั้นเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นการเมือง 2 ฝ่าย ระหว่างคนในเมืองที่มีเศรษฐกิจที่ดีและมีการศึกษาจะต่อต้านทักษิณ ในขณะที่ประชาชนในชนบทที่ยากไร้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ จะให้การสนับสนุนใครก็ตามที่ตระกูลชินวัตรส่งมา
นอกจากนี้ ฟอร์ซีธ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ทักษิณนั้นเป็นสัญลักษณ์ของ “ชนชั้นนักธุรกิจใหม่” ในสังคมไทยที่มีพลังและความสามารถ ซึ่งแน่นอนเป็นการท้าทายของชนชั้นระดับสูงในสังคมที่มีอยู่ดั้งเดิม เขาประสบความสำเร็จและร่ำรวยอย่างรวดเร็ว และทักษิณเป็นคนแรกที่สามารถส่งดาวเทียมของไทยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งส่งผลทำให้เขามีภาพลักษณ์ของความเป็นคนที่มีความก้าวล้ำอยู่เสมอ โดยทักษิณยังคงมีอำนาจอยู่ในประเทศเหตุเพราะเขาร่ำรวยมหาศาล
และเฮย์ให้ความเห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย มันซับซ้อนมาก บางทีเกินกว่าที่คนทั่วไปและสื่อต่างชาติจะเข้าใจได้ โดยมากจะมีการเปรียบเทียบระหว่างความขัดแย้งระหว่างคนรวยและคนจน ซึ่งก็มีแง่ความเป็นจริงบางส่วนอยู่ในนั้น แต่มันมีอะไรที่มากไปกว่านั้น เช่น กลุ่มคนมีเงินในเมืองหลวงไทยของขั้วการเมืองหนึ่งแข่งกับกลุ่มคนมีเงินของอีกขั้วการเมืองในเมืองต่างๆ ของไทย เพื่อจะปกครองประเทศ
และ พิรงรอง กล่าวต่อว่า สื่อต่างชาตินั้นมักจะมีสูตรสำเร็จเดิมๆ ในการมองไปแค่การขัดแย้งทางการเมืองในไทยที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือระหว่างกองทัพและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งผู้ร้ายมักเป็นกองทัพเสมอ แต่ไม่มีสื่อต่างชาติไหนเคยมองว่ารัฐบาลทักษิณนั้นทำอะไร ซึ่งในความเห็นของเธอคิดว่า นี่มันเหมือนกับราชวงศ์ใหม่ ซึ่งหลายๆ คนเริ่มคิดว่า มันไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นเสมือนกับการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา