xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” หมิ่น “หม่อมอุ๋ย” อุทธรณ์ลดโทษจำคุกเหลือ 1 ปี ปรับ 3 หมื่น รอลงอาญา 2 ปี

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ฟังคำพิพากษาที่ศาลช่วงสายวันนี้ (4 พ.ย.)
ASTVผู้จัดการ - ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลดโทษ “สนธิ” หมิ่น “หม่อมอุ๋ย” เมื่อปี 50 เหลือจำคุก 1 ปี ปรับเงิน 3 หมื่นบาท แต่เนื่องจากเป็นสื่อมวลชนเห็นควรสนับสนุนให้ได้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ปรับไทยเดย์ฯ 1 แสน และขุนทอง บก.ผู้พิมพ์ฯ คงจำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท รอลงอาญา



ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (4 พ.ย.) ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี หมายเลขดำ อ.1352/2550 ที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด, นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ, บริษัท แมเน เจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2550 นายสนธิหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News 1 เอเอสทีวี และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ทำนองว่าโจทก์ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่าปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัวขัดต่อกฎหมาย และโจทก์ช่วยเหลือนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก และปกป้องผู้กระทำผิดกรณีที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้นชิน บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี รวมทั้งมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธนาคารกสิกรไทยฯ ด้วย จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2552 ว่าจำเลยที่ 1, 2, 4 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท โดยจำเลยที่ 2 ได้ชี้นำโน้มน้าวให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนชั่วมีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง เป็นการกล่าวพาดพิงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้จำเลยเคยรับโทษในคดีลักษณะนี้มาแล้ว เห็นควรให้จำคุกจำเลยที่ 2 นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ให้ปรับ 200,000 บาท และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา พร้อมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 2 กล่าวถึงโจทก์ว่าได้หลอกลวงประชาชนและรัฐบาลสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าโจทก์ เป็นผู้สั่งอนุมัติโครงการหวยออนไลน์ 2 ตัว 3 ตัวและสลากกินแบ่งรัฐบาล ก่อนที่จะเสนอแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อล้างมลทินให้ผู้กระทำความผิดรวมทั้งตัวโจทก์เองซึ่งเป็นอดีต รมว.คลัง และกล่าวว่า โจทก์ช่วยเหลือปกป้องนายศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งการพูดของจำเลยที่ 2 ทำให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ว่า เป็นคนชั่วมีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ทั้งที่ข้อเท็จจริงในหลายกรณี เช่น กรณีนายศิโรตม์ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากระทรวงการคลังสั่งพักราชการนายศิโรตม์และมีมติเอกฉันท์ไล่ออกจากตำแหน่ง โจทก์ไม่มีพฤติการณ์ปกป้อง ส่วนการอนุมัติโครงการหวยบนดิน และออนไลน์นั้นก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้สั่ง แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าเป็นการติชมโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะด้วยความเป็นธรรม ในฐานะสื่อมวลชน แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการใส่ร้ายให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ศาลก็เห็นว่า จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีเจตนามุ่งร้ายกับโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 พูดเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะและผลประโยชน์ของส่วนรวม ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี นั้นเห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงเห็นควรลงโทษในสถานเบาและแก้โทษให้เหมาะสม เป็นว่าจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี และปรับเงิน 3 หมื่นบาท ทั้งนี้จำเลยเป็นสื่อมวลชน ซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเห็นควรสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และเมื่อโทษจำคุกรอลงอาญา จึงไม่ต้องนับโทษต่อจากคดีที่ศาลพิพากษาจำคุกฐานหมิ่นประมาท นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีต รมช.คมนาคม

ส่วนบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เห็นว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยการบันทึกถ้อยคำที่กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ลงในวีซีดีออกเผยแพร่ ลงโทษปรับเงินจำนวน 1 แสนบาท ขณะที่จำเลยที่ 4 นั้นเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว และให้ลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี

ภายหลังนายสนธิ กล่าวถึงเรื่องการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่า ตนไม่เห็นด้วยและคนส่วนมากก็ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ เพราะเป็นการออกโดยไม่ชอบ เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นผิด โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เหตุการณ์ปี 2547 ซึ่งในปีดังกล่าวรวมไปถึงเห็นการกรือเซะและตากใบด้วย ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทำไมจะต้องนิรโทษย้อนหลังไปถึงปี 2547 ด้วย ทั้งนี้ หากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตกไปตนก็ไม่เดือดร้อน เพียงแต่อึดอัดที่ติดเงื่อนไขของศาล ซึ่งตนก็ไม่กังวลในคดีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกฟ้องต่อศาล เนื่องจากมั่นในใจความบริสุทธิ์และคาดว่าเหตุการณ์ในอนาคตต่อจากนี้คงไม่ดีแน่ เพราะ พ.ร.บ.ฉบับสุดซอยเป็นเหตุจงใจให้เกิดเรื่องขึ้น ซึ่งทราบข่าวมาว่าขณะนี้ผู้ใหญ่ในกองทัพถูกซื้อตัวไว้แล้วและหากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ทหารจะออกมาเซตซีโร่ หรือเริ่มต้นใหม่

เมื่อถามถึงการออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่บริเวณริมทางรถไฟสามเสนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสนธิกล่าวว่า เขาก็สู้ในแบบของเขา แต่เห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยังเป็นนักการเมืองอยู่และยังสละหัวโขนไม่ได้ ไม่เหมือนกับกลุ่ม คปท.ที่อุรุพงษ์ที่พร้อมจะสู้ทุกอย่าง แม้ว่าวาทะของนายอภิสิทธิ์จะสวยหรู ดูเท่ สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะมีความเคลื่อนไหวหรือไม่ นายสนธิกล่าวว่า ตนไม่ใช่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่อุรุพงษ์ และที่สวนลุมพินี ก็เป็นแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งทุกคนเป็นเจ้าภาพได้หมด โดยตนเห็นว่าการที่มีกลุ่มต่างๆ ออกมาต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นเรื่องที่ดี เพราะขณะนี้ระบบของบ้านเมืองล้มเหลว ซึ่งถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง








กำลังโหลดความคิดเห็น