นครบาลรวบตัวโจรใจบาปมอมยาลักทรัพย์พระสงฆ์ และคนชราที่มารักษาตัวตามโรงพยาบาล เจ้าตัวสารภาพก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งโดยจำวิธีวางยาสลบสุนัขมาใช้ นำเงินที่ได้ไปเล่นการพนัน และเที่ยวเตร่
วันนี้ (19 ต.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชาญวัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 และ นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาธิบดี แถลงผลการจับกุม นายสมเกียรติ หรือไก่ เพ็ชรงาม อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาข้อหาชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายโดยวิธีการมอมยา ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง เสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ โดยจับกุมได้บ้านเลขที่ 68 ม.4 ต.น้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ จ.ตราด
พล.ต.ต.ฐิติราช กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีคนร้ายก่อเหตุนำสารที่ทำให้หมดสติผสมลงในเครื่องดื่มเพื่อให้ผู้เสียหายดื่มแล้วชิงทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มารักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และตามสถานีขนส่งต่างๆ เช่น สถานีขนส่งหมอชิต สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยคนร้ายมักจะก่อเหตุโดยเลือกเหยื่อผู้เสียหายที่เป็นคนชรา หรือพระสงฆ์ที่มารักษาตัวตามโรงพยาบาลเพียงลำพังคนเดียว โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา ก่อเหตุกับเหยื่อผู้เสียหายที่เป็นคนชราที่โรงพยาบาลรามาธิบดี
พล.ต.ต.ฐิติราช กล่าวอีกว่า ภายหลังเกิดเหตุจึงเร่งรัดคดีให้ พ.ต.อ.อุทัย ทำการสืบสวนโดยตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางของคนร้ายที่หลบหนีภายหลังก่อเหตุ จนพบว่าผู้ต้องหาได้เรียกจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งบนถนนพระราม 1 และเมื่อตรวจสอบพบจึงสืบสวนหาข่าวพบว่า หลบหนีไปพักอาศัยอยู่สถาน อ.แหลมงอบ จึงเข้าจับกุม
โดย นายพิจิตร อยู่ในศิล อายุ 76 ปี หนึ่งในผู้ที่ตกเป็นเหยื่อกล่าวว่า ถูกคนร้ายก่อเหตุวันที่ 4 ตุลาคม วันเดียวกันกับ นางวัชรี เดชทวิสุทธิ์ อายุ 71 ปี โดยวันดังกล่าวตนไปรอรับยาจากแพทย์ที่อาคารศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระหว่างนั้นได้ไปนั่งรับประทานอาหาร และวางแก้วน้ำไว้บนบนโต๊ะ จากนั้นก็เห็นว่ามีคนมานั่งข้างๆ แต่ไม่ได้เอะใจอะไร รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในห้องฉุกเฉิน และจำอะไรไม่ได้เลย เมื่อตรวจสอบทรัพย์สินก็พบว่า เงินสด 1,000 บาทหายไป ตนนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 4 วัน โดยที่ไม่รู้ว่าคนร้ายลักเอาบัตรเอทีเอ็มกดเงินในบัญชีออกไปอีก 38,000 บาทด้วย กว่าจะรู้ก็ผ่านไปเกือบ 1 อาทิตย์แล้ว คาดว่าคนร้ายน่าจะใส่ยาดังกล่าวลงไปในแก้วน้ำจนทำให้ตนหมดสติ ก่อนจะลักเอาทรัพย์สินไป
ด้านผู้เสียหายอดีตข้าราชการครู ที่ถูกผู้ต้องหามาตีสนิท และเอาน้ำมาให้ดื่ม ก่อนจะปลดทรัพย์สินไป ประกอบด้วย แหวนเพชร เงินสด 50,000 บาท เหตุเกิดที่โรงพยาบาลบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา และพระภิกษุสงฆ์ 1 รูป จากวัดท่าพระที่ถูกมอมยา และมีพฤติกรรมคล้ายกับผู้ต้องหา แต่ไม่ยืนยันว่าเป็นผู้ต้องหาคนเดียวกัน
สอบสวน นายสมเกียรติ ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ก่อเหตุมอมยา และชิงทรัพย์มากว่าสิบครั้งแล้ว สาเหตุที่เลือกเหยื่อตามโรงพยาบาล และสถานีขนส่ง เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เลือกก่อเหตุได้ง่าย ปกติไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ทำให้ต้องหาเงินด้วยวิธีดังกล่าว โดยได้แนวคิดมาจากการวางยาเพื่อรักษาสุนัข ซึ่งสัตวแพทย์แนะนำให้ผสมสารไซลาซีนในอาหารที่สุนัขกิน เพราะตัวยาดังกล่าวจะทำให้มีอาการสะลึมสะลือจนสามารถทำแผลได้ไม่ยาก โดยตนหาซื้อยาดังกล่าวมาจากร้านสัตวแพทย์ที่อยู่ อ.เกาะช้าง มาในราคาขวดละ 500 บาท ซื้อมาทั้งหมด 4 ขวด โดยจำนวนทั้ง 4 ขวดนั้นใช้หมดแล้ว ก่อนจะวางยาสลบเหยื่อจะนำมาสารไซลาซีนมาผสมกับยาแก้แพ้ และยาบรรเทาปวด
นายสมเกียรติ รับสารภาพต่อว่า ก่อนหน้านี้เคยมีประวัติต้องโทษลักทรัพย์ในเวลากลางคืน สน.ปทุมวัน ลักทรัพย์ในสถานีรถไฟ สน.พญาไท ลักทรัพย์ สน.บางซื่อ พ.ศ.2538 ลักทรัพย์ สน.ปทุมวัน พ.ศ.2539 วิ่งราวทรัพย์ สภ.จันทบุรี พ.ศ.2552 และเล่นการพนัน สภ.เกาะช้าง จ.ตราด พ.ศ.2551 โดยนำเงินที่ได้จากการก่อเหตุก็นำไปเที่ยวเตร่ และเล่นการพนัน เคยได้เงินมากที่สุด 38,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมเกียรติ ได้ยกมือขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมทั้งก้มลงกราบพระภิกษุวัดท่าพระ และเหยื่อที่เคยก่อเหตุ โดยนายสมเกียรติ ร้องไห้ตลอดเวลา และมีอาการคล้ายจะเป็นลม เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเอายาดมให้ดมตลอดการแถลงข่าว
พล.ต.ต.ฐิติราช กล่าวว่า จากการสอบถามผู้ต้องหารับว่าจะก่อเหตุเพียงคนเดียวโดยนำทรัพย์สินและเงินสดที่ได้ไปตระเวนเล่นการพนันตามสถานที่ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะนำไปเล่นทายผลพนันฟุตบอล โดยเล่นคู่ละ 20,000-30,000 บาท
ตรวจสอบข้อมูลการก่อเหตุของ นายสมเกียรติ พบว่า ก่อเหตุมาแล้วประมาณ 18 ครั้ง โรงพยาบาลรามาธิบดี 2 ครั้ง โรงพยาบาลศิริราช 3 ครั้ง โรงพยาบาลสงฆ์ 3 ครั้ง โรงพยาบาลราชวิถี 3 ครั้ง โรงพยาบาลพระมงกุฎ 2 ครั้ง สถานีขนส่งหมอชิต 2 ครั้ง และสถานีรถไฟหัวลำโพง 3 ครั้ง โดยเหยื่อที่ถูกก่อเหตุจะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 50-70 ปี ทรัพย์สินที่ได้ไปส่วนใหญ่เป็นเงินสดไม่เกิน 6 พันบาท แหวน และบัตรเอทีเอ็มของเหยื่อ
ด้าน นพ.สุรศักดิ์กล่าวว่า สารไซลาซีนเป็นสารที่ใช้กับสัตว์เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายหรือทำแผล หากนำมาใช้กับคนในปริมาณเกินขนาดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวหากได้รับสารดังกล่าวเข้าไปในปริมาณมาก อาจทำให้ความดันตก และเสียชีวิต โชคดีที่ทีมแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีตรวจร่างกายของผู้ป่วยแล้วเกิดความสงสัย จึงมีการนำเลือดไปตรวจอย่างละเอียด จนพบว่ามีสารดังกล่าวในร่างกาย ซึ่งปกติแล้วเป็นสารที่ใช้กับสัตว์เท่านั้น หลังจากนี้ ทุกฝ่ายคงต้องร่วมมือกันในการป้องกัน เนื่องจากมิจฉาชีพมีการก่อเหตุหลากหลายรูปแบบ ทางโรงพยาบาลจะกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเฝ้าระวัง เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย พร้อมทั้งวางระบบความปลอดภัยติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม