“วัชรพล” แถลงกรณีศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งตั้งเป็นรอง ผบ.ตร.ระบุตนเองเป็นผู้ได้รับผลกระทบ แต่ไม่กระเทือนยศและตำแหน่งปัจจุบัน เพราะผ่านการโปรดเกล้าฯ แล้ว ชี้ สตช.แค่เสนอ ก.ตร.แก้ไขคำสั่งแต่งตั้ง สลับตำแหน่งกับ “ชลอ”
วันนี้ (10 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แถลงข่าวภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 7 เม.ย. 2552 ซึ่งประกาศดังกล่าวแต่งตั้ง พล.ต.ท.วัชรพล (ยศในขณะนั้น) ขึ้นดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ซึ่ง พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ อดีตรอง ผบ.ตร.ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสลำดับที่ 1 ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง หลังเห็นว่าการแต่งตั้งไม่เป็นธรรม มีการแต่งตั้งข้ามลำดับอาวุโส
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า การแต่งตั้งเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา ซึ่งอาจไม่ถูกใจทุกคน โดยเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2552 มีตำแหน่ง รองผบ.ตร.และ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10)เทียบเท่า รอง ผบ.ตร.ว่าง 2 ตำแหน่ง ขณะนั้น มี พล.ต.อ.ชลอ ซึ่งมีอาวุโส อันดับ 1 ได้รับการแต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษา (สบ10) แต่ตนเอง ซึ่งมีอาวุโส อันดับ 2 ได้รับแต่งตั้งเป็นรอง ผบ.ตร.ทำให้ พล.ต.อ.ชลอ เห็นว่า การแต่งตั้งไม่ถูกต้อง จึงอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และยื่นฟ้องศาลปกครองในที่สุด ศาลจึงมีคำสั่งดังกล่าว โดยอ้าง กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ ที่การแต่งตั้งระดับผู้ช่วย ผบ.ตร.ขึ้นรองผบ.ตร.ต้องยึดตามลำดับอาวุโส
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวต่อไปว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด โดยจะต้องเสนอ ก.ตร.แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2552 สลับตำแหน่งกับ พล.ต.อ.ชลอ โดยตนเอง ก็จะไปดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา (สบ10) แทน หากเป็นไปตามคำสั่งเดิม ต่อมา พล.ต.อ.ชลอ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผบ.ตร. ในวันที่ 1 ต.ค. 2553 ฉะนั้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง แต่เมื่อนับอายุการรับราชการ ตนเองยังเป็นรอง ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องถอดยศ เพราะได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว หรือมีการลดตำแหน่งแต่อย่างใด และไม่คิดจะฟ้องร้องกลับ เพราะตัวเองไม่ใช่คู่กรณี แต่เป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบ