xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้อง “หรั่ง เทวรัตน์” อดีตคนสนิท เสธ.แดง ค้าอาวุธสงคราม

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 นายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวรัตน์ อายุ 29 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ อดีตคนสนิทของของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง “หรั่ง เทวรัตน์” อดีตคนสนิท เสธ.แดง คดีค้าอาวุธสงคราม ชี้พยานโจทก์เบิกความมีพิรุธหลายประการ อีกทั้งไม่มีหลักฐานว่าอาวุธที่ยึดมาได้่เป็นของจำเลย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย

วันนี้ ( 8 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1223/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 29 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ อดีตคนสนิทของของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เป็นจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่ายวัตถุระเบิดและอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้

คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2553 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกได้มีและขายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด หรือลูกระเบิด ซึ่งเป็นอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 55, 78, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 5, 7, 15 และ 42

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า ภายหลังการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้รับคดีที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่ 6 เม.ย. 2553 เข้าเป็นคดีพิเศษ โดยหนึ่งในนั้นมีคดีนี้ด้วย มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ทหารเป็นพยานขึ้นเบิกความว่า สืบทราบว่าจำเลยค้าอาวุธสงครามซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้ดำเนินการล่อซื้ออาวุธสงครามในราคา 60,000 บาท และนัดส่งมอบสินค้ากันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยเมื่อถึงเวลานัดจำเลยได้ขนอาวุธใส่รถยนต์มาส่งมอบให้พยาน พยานจึงนำอาวุธสงครามมาส่งมอบให้ผู้บังคับบัญชาว่าได้มีการล่อซื้ออาวุธสงครามมาแต่ไม่ได้มีการจับกุมทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องและทำการสืบสวนสอบสวนต่อ เมื่อพิจารณาคำเบิกความแล้วเห็นว่าไม่ปรากฏหลักฐานเรื่องธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อและในการล่อซื้อไม่มีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าร่วมวางแผนในครั้งนี้ด้วย ทั้งที่คดีนี้เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งจำเลยก็ไม่ได้สนิทกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำการล่อซื้อ จึงไม่น่าเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้เสนอขายอาวุธเอง ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ทั้ง 3 หมายเลขของจำเลยที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้ ก็ไม่ปรากฏว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวใครเป็นผู้ใช้ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอให้รับฟังได้

เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ในการล่อซื้อมีพิรุธพอสมควร และโจทก์ไม่ได้นำพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง มาเบิกความถึงพฤติกรรมของจำเลยว่ากระทำผิดตามฟ้องอย่างไรบ้าง จึงเป็นพิรุธน่าสงสัย การรับฟังคำเบิกความพยานจึงต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง โจทก์ไม่มีพยานเบิกความเชื่อมโยงกันว่าจำเลยมีความเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามอย่างไรบ้าง และภายหลังจากการล่อซื้ออาวุธสงครามแล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ทำการจับกุมจำเลย ภายหลังจากที่มีการล่อซื้อแล้วเป็นเวลาหลายเดือน เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีพิรุธข้อสงสัยหลายประการ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรค2 พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ และให้ริบอาวุธสงครามของกลาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุม นายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวรัตน์ ได้เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 โดยขณะนั้น รายงานข่าวจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ แจ้งว่า นายสุรชัย เป็นผู้ต้องสงสัยว่าใช้อาวุธสงคราม ก่อเหตุยิงใส่ทหารบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 และใช้เอ็ม 79 ยิงใส่สถานที่หลายแห่ง โดยก่อนก่อเหตุนั้นได้เปิดโรงแรมโกลเดนฮอส ถนนดำรงรักษ์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพระนคร กทม.เพื่อพักรอก่อเหตุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง

สำหรับอาวุธที่ยึดได้นั้น ได้แก่ เครื่องยิงเอ็ม 79 กระสุนปืนกลขนาด 60 มิลลิเมตร ระเบิดมือชนิดต่างๆ เครื่องยิงปืน ค.พร้อมฐานที่ตั้งยิงลูกระเบิด กระสุนปืนเอ็ม 79 ปืนอาก้า พร้อมกระสุนอีกจำนวนมาก ระเบิดทีเอ็นที ระเบิดซีโฟร์





กำลังโหลดความคิดเห็น