คดีทายาทกระทิงแดง “วรยุทธ อยู่วิทยา” หรือ บอส อายุ 28 ปี บุตรชายคนเล็ก“นายเฉลิม อยู่วิทยา” ซิ่งรถยนต์หรูยี่ห้อเฟอร์รารี่พุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปีสายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบนพื้นถนน ที่หน้าปากซอยสุขุมวิท 47 ทำท่าจะบานปลาย เมื่อ“นายวรยุทธ”ผู้ต้องหาเบี้ยวนัดไม่มาพบพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน อ้างป่วยกะทันหันอยู่ประเทศสิงคโปร์ มีเพียงใบรับรองแพทย์จากคลินิก M.B.B.S. ประเทศสิงคโปร์ ลงวันที่ 1 ก.ย.2556 มายื่นให้อัยการ ซึ่งพนักงานอัยการเห็นว่ามีพฤติการณ์ จึงทำให้ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลได้ และทำให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ มีอายุความ 1 ปี หมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย.นี้ กระทั่งต้องประสานตำรวจ สน.ทองหล่อยื่นขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อออกหมายจับผู้ต้องหา
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่วันที่ 3 ก.ย.2553 โดยร้อยเวร สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งรถยนต์สปอร์ตหรูยี่ห้อเฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา ทะเบียน ญญ 1111 กทม. ขับพุ่งชน ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณซอยสุขุมวิท 47 ต่อมาทราบชื่อ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ ป.ของ สน.ทองหล่อ รหัสหมวกคือ 126-4 โดยลากศพพร้อมจักรยานยนต์สายตรวจไปไกลเกือบ 200 เมตร แล้วหลบหนีเข้าบ้านพักเลขที่ 9 ภายในซอยสุขุมวิท 53 ต่อมาพบว่าบ้านพักหลังดังกล่าวเป็นของ “เฉลิม อยู่วิทยา” เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง
ภายหลังได้รับรายงานจากลูกน้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือ “บิ๊กแจ๊ด” ก็รีบเดินทางไปยังบ้านของ “นายเฉลิม อยู่วิทยา”เพื่อเข้าไปสอบสวนข้อเท็จจริงภายในบ้านโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนตามเข้าไปทำข่าวหรือสังเกตการณ์ภายใน“อยู่วิทยา”
ไม่นานนักประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.จึงออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า พบรถต้องสงสัยอยู่ภายในบ้าน แต่ไม่มีข้อมูลว่าผู้ใดเป็นคนขับ ต้องรอผู้ที่ก่อเหตุตัวจริงเดินทางเข้ามอบตัว แต่หากไม่เข้ามอบตัวจะนำหมายศาลเข้าตรวจค้น
โดย “บิ๊กแจ๊ด”พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่าคดีนี้ต้องติดตามจับกุมคนร้ายตัวจริงให้ได้ เนื่องจากผู้ใต้บังคับบัญชาเสียชีวิต
“ผมกล้าเอาตำแหน่งเป็นประกันผมพร้อมที่ลาออกจากตำแหน่งหากไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้ ซึ่งหากยังไม่เดินทางเข้ามอบตัว ก็จะนำกำลังตำรวจ 300 นายบุกเข้าตรวจค้น” ผบช.น. กล่าวหนักแน่น
จนทำให้เพื่อนสายตรวจ สน.ทองหล่อ จำนวนหนึ่งที่มารอตามความคืบหน้าคดีอยู่หน้าบ้านพัก “อยู่วิทยา” ต่างปรบมือให้กำลังใจต่อการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ที่จะปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา ของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากคดีนี้ ทำให้พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ ถูกคำสั่งเด้งฟ้าผ่าไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แบบไม่มีกำหนด
เนื่องจากตั้งแต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่ว่าใครเป็นผู้ขับขี่รถเก่งสปอร์ตหรู ที่ก่อเหตุแล้วหลบเข้าไปในบ้านทายาทเจ้าสัวกระทิงแดงนั้น พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สวป.สน.ทองหล่อ ซึ่งสนิทสนมกับเจ้าของบ้านตระกูลอยู่วิทยา ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของบ้านเรียกให้เข้าพบเพื่อปรึกษาปัญหาสำคัญอย่างเร่งด่วน และได้เข้าไปพูดคุยกับนายเฉลิม อยู่วิทยา อย่างเคร่งเครียด จากนั้น พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ ก็ออกมาพร้อมกับหลักฐานสมุดบันทึกลงเวลาเข้า-ออกบ้านตระกูลอยู่วิทยา โดยพยายามออกมาพูดว่าคนดูแลรถภายในบ้านเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อเฟอรารี่ สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน ญญ 1111 กทม.ไปประสบอุบัติเหตุชนตำรวจชนตาย เรื่องนี้ถึงกับทำให้ “บิ๊กแจ๊ด” ควันออกหูขึ้นมาทันที
ระบุว่า“ผมรับไม่ได้กับพฤติกรรมแย่ๆ อย่างนี้ของคนเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ถามหน่อยทำได้อย่างไรลูกน้องตายทั้งคน แล้วนี่ทราบประวัติด้วยว่าเป็นตำรวจที่ตั้งใจทำงานมีความประพฤติเรียบร้อยและในช่วงเวลาที่เขาตายก็เป็นเวลาปฏิบัติหน้าที่ สวมเครื่องแบบตำรวจออกมาตรวจจุดตรวจในช่วงเช้าจนมาเสียชีวิต ผมรับไม่ได้จริงๆ ครับ”
“บิ๊กแจ๊ด” ให้เหตุผลในคำสั่งเด้งฟ้าผ่า สวป.สน.ทองหล่อ อีกว่าเนื่องจากมีพฤติกรรมพยายามนำ นายสุเวศ หอมอุบล ผู้ที่มีหน้าที่ขับรถประจำบ้านหลังดังกล่าว มาส่งพนักงานสอบสวน ทั้งที่ในข้อเท็จจริงไม่ใช่ผู้ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร เพราะจากการตรวจสอบสมุดบันทึกการเข้าออกของพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำประตูหน้า พบว่านายวรยุทธเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุ
ทั้งนี้ ภายหลัง สวป.สน.ทองหล่อ ก็ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย พร้อมมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากส่อเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำผิดไม่ให้รับโทษ
ช่วงเวลาประมาณ 10 โมง พล.ต.ท. คำรณวิทย์ก็ได้เข้าไปในบ้านอยู่วิทยาอีกเป็นครั้งที่สอง พร้อมนำตัวนายยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ลูกชายคนเล็กของนายเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจหมื่นล้านเจ้าของเครื่องดื่มยี่ห้อกระทิงแดง ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ขับรถคันก่อเหตุพร้อมทนายความส่วนตัวไปสอบสวนที่ สน.ทองหล่อทันที สร้างบรรยากาศที่เคร่งเครียดให้กับคนในตระกูลอยู่วิทยาเป็นอย่างมาก หลังจากที่นายเฉลิมได้เอ่ยปากขอร้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ให้การช่วยเหลือแต่ได้รับการปฏิเสธอย่างมีมารยาท โดยยืนยันให้นำตัว “บอส”ลูกชายคนเล็กของนายเฉลิมไปสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อก่อน
โดยมี พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ร่วมสอบปากคำด้วย พร้อมกับเปิดเผยว่า เบื้องต้นให้การภาคเสธ.โดยรับว่าชนจริงแต่รถของผู้ตายขับปาดหน้าทำให้หักหลับไม่ทัน ซึ่งตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และชนแล้วหนีโดยไม่แจ้งเหตุ โดยตั้งวงเงินประกัน 5 แสนบาท และไม่คัดค้านการประกันตัว ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งภายหลังพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มอีก 1 ข้อหา คือ ขับรถขณะมึนเมาสุราและขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และต่อมาพนักงานสอบสวนก็อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน ในวงเงินประกัน 5 แสนบาท ระบุว่าผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ขณะที่ นายสมัคร เชวภานันท์ ทนายความประจำตระกูลอยู่วิทยา กล่าวภายหลังพนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกันตัว นายวรยุทธ ว่า ผู้ต้องหายินดีชดใช้ค่าเสียหายทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก รวมทั้งเรื่องการจัดตั้งสวดอภิธรรมศพ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่วัดธาตุทอง ซึ่ง นายเฉลิม อยู่วิทยา บิดาและครอบครัวอยู่วิทยา ยินดีเป็นเจ้าภาพตลอดงานและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ส่วน นายสุเวศ หอมอุบล อายุ 45 ปี พ่อบ้านตระกูลอยู่วิทยา ซึ่งตอนแรกอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่ขับรถคันเกิดเหตุ แต่สอบปากคำและตรวจร่างกายแล้วไม่พบบาดแผล หรือ ร่องรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุ และไม่สามารถให้รายละเอียดเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน เชื่อว่าไม่ใช้ผู้ต้องหาตัวจริง จึงถูกดำเนินคดีข้อหาให้การเท็จกับเจ้าพนักงาน ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งภายหลังถูกจะนำตัวส่งฟ้องศาลแขวงพระนครใต้
ซึ่งคดีนี้เป็นคดีของทายาทนักธุรกิจใหญ่ ที่แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็ยังอดไม่ได้ที่จะออกมาให้สัมภาษณ์ โดยระบุว่า“คดีนี้จะไม่สะดุดเพราะนามสกุลใหญ่แน่นอน ถ้าคนรวยทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้มีคนโทรศัพท์มาแจ้งตนว่าจะมีการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาก็ขอให้ระวังด้วย”
ซึ่งพนักงานสอบสวนทำสำนวนและรวบรวมพยานหลักฐาน นานประมาณ 6 เดือน เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2556 พนักงานสอบสวนจึงสรุปสำนวนพร้อมมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ต่อพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ จำนวน 2 ข้อหา คือ 1.ข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2. ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน ขณะเดียวกันก็มีความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง ใน 2 ข้อหา ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และ ข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรา
ซึ่งภายหลังรับสำนวนไว้พิจารณาแล้ว นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 เปิดเผยว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรฟ้อง 2 ข้อหา คือ ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน เมื่ออัยการพิจารณาแล้วเห็นควรให้ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพิ่มอีกหนึ่งข้อหาด้วย เนื่องอัยการเชื่อหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพรถยนต์ ขณะที่ผู้ต้องหาขับผ่านกล้องโดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรานั้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ต้องหามีปริมาณแอลกอฮอล์ขณะขับรถหรือหลังเกิดเหตุแล้ว
จากนั้นอัยการจึงได้ส่งสำนวนพร้อมแจ้งความเห็น ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ทราบ ส่วนผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกกำหนด และขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม 4 ปาก รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจความเร็วอีก 2 ปาก ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ตามที่ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรม จึงเป็นสาเหตุทำให้ต้องเลื่อนนัดพิจารณาสั่งคดีออกไปถึง 5 ครั้ง ใช้เวลานานเกือบ 6 เดือน
กระทั่งคดีบางข้อหาได้หมดอายุความ คือ ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นคดีลหุโทษมีอายุความเพียง 1 ปี และหากไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาฟ้องต่อศาลได้ คดีจะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย.2555 ทำให้พนักงานอัยการซึ่งถือสำนวนอยู่ในมือนิ่งเฉย หรือทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะถูกครหาหรือมีข้อตำหนิติเตียนได้ว่า ทำหน้าที่ทนายแผ่นดินขาดตกบกพร่องไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นเกียรติศักดิ์ศรีของพนักงานอัยการ
โดยเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 เจ้าของสำนวน จึงออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ได้รับหนังสือจาก นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ที่มีคำสั่งให้อรีบดำเนินการฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาไปตามความคำสั่งเดิมก่อน 3 ข้อหา โดยไม่ต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมที่ผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไว้ และพนักงานสอบสวนยังสอบเพิ่มเติมไม่แล้วเสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายทางคดี ที่ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนด จะหมดอายุความลงในวันที่ 3 ก.ย.นี้
จากนั้นจึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ให้ติดตามตัวนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส มาส่งให้อัยการเพื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนดจะหมดอายุความ
ส่วนทนายความของนายวรยุทธ หรือบอส ก็ได้แจ้งพนักงานสอบสวนว่าผู้ต้องหาเดินทางไปประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. และจะเดินทางกลับ เพื่อมาพบพนักงานอัยการในวันที่ 2 ก.ย. เวลา 10.00 น. อย่างแน่นอน
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในนัดฟังการสั่งคดีครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ทนายความของผู้ต้องหาได้แจ้งขอเลื่อนการสั่งคดี อ้างว่าผู้ต้องหาป่วย โดยมีใบรับรองแพทย์จากคลินิกแห่งหนึ่งในจ.ปทุมธานีมายื่นแสดงให้อัยการ
สุดท้ายแล้วเมื่อถึงกำหนดนัด เวลา 10.00 น.ของวันที่ 2 ก.ย.ซึ่งพนักงานอัยการได้ให้ผู้ต้องหามารายงานตัว เพื่อฟังการพิจารณาสั่งคดี และยื่นฟ้องต่อศาล แต่ปรากฏว่าทนายความอ้างว่าจะมาพบในช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. จนกระทั่งไม่มีวี่แววว่าผู้ต้องหาจะมารายงานตัว มีเพียงนายธนิต บัวเขียว ทนายความ ที่ได้รับมอบอำนาจจากนายวรยุทธ พร้อมนำใบรับรองแพทย์ของคลินิก M.B.B.S.ในสิงคโปร์มายื่นให้อัยการ อ้างว่า ผู้ต้องหาป่วยกะทันหันอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ไม่สามารถเดินทางมาพบอัยการได้ทันตามนัด
โดยนายธนิต บัวเขียว ทนายความเปิดเผยว่า นายวรยุทธ มีอาการป่วยกะทันหัน จากอาการที่เป็นไข้หวัดใหญ่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเคยนำใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลย่านปทุมธานีมาให้อัยการเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา และจากนั้นนายวรยุทธได้เดินทางไปติดต่อเรื่องธุรกิจที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยครั้งแรกคิดว่าจะสามารถเดินทางกลับและมาพบอัยการได้ทันวันที่ 2 ก.ย.นี้ แต่เมื่อป่วยกะทันหันจึงต้องรักษาอาการ ซึ่งแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าจะต้องพักรักษาตัวก่อนอีกประมาณ 2-3 วัน แล้วจะเดินทางกลับ ส่วนที่ตนเพิ่งนำเอกสารมาแจ้งอัยการล่าช้า เพราะต้องใช้เวลาประสานนำเอกสารจากประเทศสิงคโปร์มาเพื่อยื่นต่ออัยการ จึงไม่ได้ซักถามรายละเอียดมากนัก ซึ่งการยื่นใบรับรองแพทย์ครั้งนี้ทางนายวรยุทธก็มีความหนักใจเช่นกัน แต่มีความจำเป็นจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยง
ทางด้านนายฤชา กล่าวว่า ตลอดทั้งวันได้โทรศัพท์ติดต่อทางบ้านของนายวรยุทธและทนายความแต่ไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อไม่ได้ตัวมาจึงไม่สามารถนำตัวไปฟ้องต่อศาลได้ ทำให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษมีอายุความ 1 ปี จะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย.แน่นอนแล้ว เพราะไม่สามารถนำตัวไปฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ทัน แต่อย่างไรก็ตามาจะไม่มีผลต่อสำนวน เนื่องจากคดีนี้ยังมีความผิดที่อัยการสั่งฟ้องนายวรยุทธอีก 2 ข้อหาใหญ่คือขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้เสียทรัพย์ ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน
ขณะนี้อัยการได้ร่างคำฟ้องไว้พร้อมแล้วทุกข้อหา แต่เมื่อหมดอายุความก็จะแก้คำฟ้องคงเหลือ 2 ข้อหาหลัก โดยจะบรรยายไว้ว่าเป็นผลจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และจะทำหนังสือเสนอ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อให้พิจารณามีคำสั่งว่าจะให้นำตัวมาฟ้อง 2 ข้อหาที่เหลือเมื่อใด ซึ่งในการฟ้องคดีอัยการจะคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาแน่นอน เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์หลบหนีและประวิงเวลาเลื่อนนัดหลายครั้ง
พร้อมกันนี้อัยการก็ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ขออนุมัติหมายจับ นายวรยุทธหรือ บอส อยู่วิทยา เพื่อให้ติดตามตัวมาส่งฟ้องข้อหาที่เหลือ ระบุว่า เมื่อออกหมายจับแล้ว หากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ต้องหาที่ใดก็สามารถจับกุมตัวได้ทันที ซึ่งตอนแรกพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ พยายามจะขอออกหมายเรียกก่อน 2 ครั้ง หรือแจ้งว่ายังไม่ได้รับการประสานจากพนักงานอัยการ เจ้าของสำนวน แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าว ในที่สุด พ.ต.ท.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสอบสวนเจ้า สน.ทองหล่อ เจ้าของคดี ก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำเอกสารจากอัยการไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับ เพื่อจะส่งหมายจับให้พนักงานอัยการ และกองทะเบียนประวัติอาชญากร ทั้งประสานไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ ให้จับกุมผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลก่อนที่คดีจะหมดอายุความในอีก 2 ข้อหาที่เหลืออยู่
ดังนั้นคดีนี้อาจสังสัยได้ว่าพนักงานสอบสวนทำสำนวนอ่อนมาตั้งแต่ต้น โดยมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องเพียงแค่ 2 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และชนแล้วหนีโดยไม่แจ้งเหตุ ซึ่งภายหลังพนักงานอัยการต้องมีคำสั่งฟ้องเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหา ขณะที่ทางฝ่ายผู้ต้องหาเองก็พยายามประวิงเวลา เพื่อให้คดีขาดอายุความ และอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้ทัน โดยอ้างเหตุว่าป่วย และเดินทางไปทางประเทศ ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องติดตามว่านายวรยุทธหรือบอส ที่ถูกออกหมายจับแล้ว จะยอมเดินทางกลับมาสู้คดี หรือ จะหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ซึ่งก็มีเครือข่าย “กระทิงแดง” อยู่ทั่วโลก