xs
xsm
sm
md
lg

หลานกระทิงแดง หลุดบ่วง 1 ข้อหา “ตร.-อัยการ” ใครจะรับผิดชอบ?

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คดีทายาทกระทิงแดง “วรยุทธ อยู่วิทยา” หรือ บอส อายุ 28 ปี บุตรชายคนเล็ก “นายเฉลิม อยู่วิทยา” ซิ่งรถยนต์หรูยี่ห้อเฟอร์รารี่ พุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปีสายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบนพื้นถนน ที่หน้าปากซอยสุขุมวิท 47 เมื่อเช้ามืดของวันที่ 3 ก.ย. 55 ทำท่าจะบานปลาย เมื่อนายวรยุทธผู้ต้องหาเบี้ยวนัดไม่มาพบพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน อ้างป่วยกะทันหันอยู่ประเทศสิงคโปร์ มีเพียงใบรับรองแพทย์จากคลินิก M.B.B.S.ประเทศสิงคโปร์ ลงวันที่ 1 ก.ย.2556 มายื่นให้อัยการ ซึ่งพนักงานอัยการเห็นว่ามีพฤติการณ์หลบหนี จึงทำให้ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลได้ และทำให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ มีอายุความ 1 ปี ซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย.นี้ กระทั่งอัยการต้องประสานตำรวจ สน.ทองหล่อ ยื่นขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อออกหมายจับผู้ต้องหา

คดีนี้พนักงานสอบสวนทำสำนวนและรวบรวมพยานหลักฐานประมาณ 6 เดือน จนกระทั่งวันที่ 4 มี.ค.2556 พนักงานสอบสวนจึงสรุปสำนวนพร้อมมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายวรยุทธต่อพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ จำนวน 2 ข้อหา คือ 1.ข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน ขณะเดียวกันก็มีความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง ใน 2 ข้อหา ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรา

ทั้งนี้ ภายหลังรับสำนวนไว้พิจารณาแล้ว นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 เปิดเผยว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรฟ้อง 2 ข้อหา คือ ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน เมื่ออัยการพิจารณาแล้วเห็นควรให้ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพิ่มอีกหนึ่งข้อหาด้วย เนื่องอัยการเชื่อหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพรถยนต์ ขณะที่ผู้ต้องหาขับผ่านกล้องโดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรานั้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ต้องหามีปริมาณแอลกอฮอล์ขณะขับรถหรือหลังเกิดเหตุแล้ว

จากนั้นอัยการจึงได้ส่งสำนวนพร้อมแจ้งความเห็น ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ทราบ ส่วนผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม 4 ปาก รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจความเร็วอีก 2 ปาก ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ตามที่ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรม จึงเป็นสาเหตุทำให้ต้องเลื่อนนัดพิจารณาสั่งคดีออกไปถึง 5 ครั้ง ใช้เวลานานเกือบ 6 เดือน

ความพยามยามประวิงเวลาของกระบวนการสอบสวน เป็นเหตุให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นคดีลหุโทษมีอายุความเพียง 1 ปี ต้องขาดอายุความ เนื่องจากไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาฟ้องต่อศาลได้ โดยคดีได้หมดอายุความลงในวันที่ 3 ก.ย.2556 ทำให้พนักงานอัยการซึ่งถือสำนวนอยู่ในมือนิ่งเฉย หรือทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะถูกครหาหรือมีข้อตำหนิติเตียนได้

โดยเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา นายฤชา จึงออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ได้รับหนังสือจาก นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ที่มีคำสั่งให้รีบดำเนินการฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาไปตามความคำสั่งเดิมก่อน 3 ข้อหา โดยไม่ต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมที่ผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไว้ และพนักงานสอบสวนยังสอบเพิ่มเติมไม่แล้วเสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายทางคดี ที่ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนด จะหมดอายุความลงในวันที่ 3 ก.ย.นี้

จากนั้นจึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ให้ติดตามตัวนายวรยุทธมาส่งให้อัยการเพื่อยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนดจะหมดอายุความ

ส่วนทนายความของนายวรยุทธได้แจ้งพนักงานสอบสวนว่าผู้ต้องหาเดินทางไปประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.และจะเดินทางกลับ เพื่อมาพบพนักงานอัยการในวันที่ 2 ก.ย. เวลา 10.00 น.อย่างแน่นอน

เป็นที่น่าสังเกตว่าในนัดฟังการสั่งคดีครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ทนายความของผู้ต้องหาได้แจ้งขอเลื่อนการสั่งคดี อ้างว่าผู้ต้องหาป่วย โดยมีใบรับรองแพทย์จากคลินิกแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี มายื่นแสดงให้อัยการ สุดท้ายแล้วเมื่อถึงกำหนดนัด เวลา 10.00 น.ของวันที่ 2 ก.ย.ซึ่งพนักงานอัยการได้ให้ผู้ต้องหามารายงานตัว เพื่อฟังการพิจารณาสั่งคดี และยื่นฟ้องต่อศาล แต่ปรากฏว่าทนายความอ้างว่าจะมาพบในช่วงบ่าย เวลา 15.00 น.จนกระทั่งไม่มีวี่แววว่าผู้ต้องหาจะมารายงานตัว มีเพียงนายธนิต บัวเขียว ทนายความ ที่ได้รับมอบอำนาจจากนายวรยุทธ พร้อมนำใบรับรองแพทย์ของคลินิก M.B.B.S.ในสิงคโปร์มายื่นให้อัยการ อ้างว่า ผู้ต้องหาป่วยกะทันหันอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ไม่สามารถเดินทางมาพบอัยการได้ทันตามนัด

โดย นายธนิต อ้างว่า นายวรยุทธ มีอาการป่วยกะทันหัน จากอาการที่เป็นไข้หวัดใหญ่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเคยนำใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลย่านปทุมธานีมาให้อัยการเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา และจากนั้นนายวรยุทธได้เดินทางไปติดต่อเรื่องธุรกิจที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยครั้งแรกคิดว่าจะสามารถเดินทางกลับและมาพบอัยการได้ทันวันที่ 2 ก.ย.นี้ แต่เมื่อป่วยกะทันหันจึงต้องรักษาอาการ ซึ่งแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าจะต้องพักรักษาตัวก่อนอีกประมาณ 2-3 วัน แล้วจะเดินทางกลับ ส่วนที่ตนเพิ่งนำเอกสารมาแจ้งอัยการล่าช้า เพราะต้องใช้เวลาประสานนำเอกสารจากประเทศสิงคโปร์มาเพื่อยื่นต่ออัยการ ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยง

ทางด้าน นายฤชา กล่าวว่า ตลอดทั้งวันได้โทรศัพท์ติดต่อทางบ้านของนายวรยุทธ และทนายความ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อไม่ได้ตัวมาจึงไม่สามารถนำตัวไปฟ้องต่อศาลได้ ทำให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษมีอายุความ 1 ปี จะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย.แน่นอนแล้ว เพราะไม่สามารถนำตัวไปฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ทัน แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่มีผลต่อสำนวน เนื่องจากคดีนี้ยังมีความผิดที่อัยการสั่งฟ้องนายวรยุทธอีก 2 ข้อหาใหญ่ คือขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้เสียทรัพย์ ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน

ขณะนี้อัยการได้ร่างคำฟ้องไว้พร้อมแล้วทุกข้อหา แต่เมื่อหมดอายุความก็จะแก้คำฟ้องคงเหลือ 2 ข้อหาหลัก โดยจะบรรยายไว้ว่าเป็นผลจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และจะทำหนังสือเสนอ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อให้พิจารณามีคำสั่งว่าจะให้นำตัวมาฟ้อง 2 ข้อหาที่เหลือเมื่อใด ซึ่งในการฟ้องคดีอัยการจะคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาแน่นอน เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์หลบหนีและประวิงเวลาเลื่อนนัดหลายครั้ง

พร้อมกันนี้อัยการก็ได้แจ้งให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ขออนุมัติหมายจับนายวรยุทธเพื่อให้ติดตามตัวมาส่งฟ้องข้อหาที่เหลือ ระบุว่า เมื่อออกหมายจับแล้ว หากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ต้องหาที่ใดก็สามารถจับกุมตัวได้ทันที ซึ่งตอนแรกพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ พยายามจะขอออกหมายเรียกก่อน 2 ครั้ง หรือแจ้งว่ายังไม่ได้รับการประสานจากพนักงานอัยการ เจ้าของสำนวน แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าว ในที่สุด พ.ต.ท.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสอบสวนเจ้า สน.ทองหล่อ เจ้าของคดี ก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำเอกสารจากอัยการไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับ เพื่อจะส่งหมายจับให้พนักงานอัยการ และกองทะเบียนประวัติอาชญากร ทั้งประสานไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ ให้จับกุมผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลก่อนที่คดีจะหมดอายุความในอีก 2 ข้อหาที่เหลืออยู่

ดังนั้นคดีนี้อาจสงสัยได้ว่าพนักงานสอบสวนพยายามจะประวิงเวลาและทำสำนวนอ่อนมาตั้งแต่ต้น โดยมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องเพียงแค่ 2 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และชนแล้วหนีโดยไม่แจ้งเหตุ ซึ่งภายหลังพนักงานอัยการต้องมีคำสั่งฟ้องเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหา ขณะที่ทางฝ่ายผู้ต้องหาเองก็พยายามประวิงเวลา เพื่อให้คดีขาดอายุความ และอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้ทัน โดยอ้างเหตุว่าป่วย และเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องติดตามว่านายวรยุทธที่ถูกออกหมายจับแล้ว จะยอมเดินทางกลับมาสู้คดี หรือจะหลบหนีอยู่ต่างประเทศ

คดีนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนถึงความบกพร่องในกระบวนการชั้นสอบสวน ไม่ว่าจะด้วยความจงใจหรือเลินเล่อก็ตามที การปล่อยให้ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวโดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไข จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาอาศัยช่องว่างหลบหนีคดี และปล่อยเวลาหมดอายุความ

แต่ถามว่าใครล่ะจะออกมายอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

แล้ว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่กลายเป็นฮีโร่ในชั่วพริบตาเมื่อประกาศจะจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษจะตอบคำถามนี้กับสังคมได้อย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น