ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกตลอดชีวิตมือยิง “ระวีวรรณ เสตะรัต” เหยื่อศัลยกรรมไบโอคลินิก ย่านดอนเมือง ชี้ประจักษ์พยานเบิกความเห็นหน้าชัดเจน ส่วนคนขี่ จยย.พาหลบหนี ให้ยกฟ้องเช่นเดิม
ที่ห้องพิจารณา 903 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (26 ส.ค.) ศาลได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ความผิดต่อชีวิต คดีดำ อ.4514/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 โจทก์ และนายเจตษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายนางระวีวรรณ เสตะรัต โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง เบญกุล อายุ 31 ปี ชาวจ.ชลบุรี และนายประกอบ สีนาค อายุ 36 ปี ชาว จ.อุทัยธานี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่านางระวีวรรณ เสตะรัต หรือนางอภัสนันท์ ธิติโชติชัยปรีชา ผู้เสียหายจากการทำศัลยกรรมสถาบันเสริมความงาม ไบโอคลินิก ย่านดอนเมือง
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2550 เวลาประมาณ 20.30 น. จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด .25 (6.35 มม.) ไม่มีทะเบียน ยิงนางระวีวรรณ เสียชีวิตหน้าบ้านพักเลขที่ 295 หมู่บ้านฉัตรแก้ว ซ.11 ถ.แฮปปี้แลนด์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. แล้วขับจักรยานยนต์หลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าว และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมอาวุธปืน และจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธชั้นพิจารณา
คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2553 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอจะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองด้วย
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่าฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันเห็นจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โดยขณะยิงจำเลยที่ 1 ยังใช้มือปัดมือของผู้ตายเพื่อยิงให้ถูกอวัยวะสำคัญ ซึ่งระยะห่างเพียง 1 เมตร นอกจากนี้ ประจักษ์พยานซึ่งยืนอยู่ห่าง 7 เมตร ได้ตะโกนด่าจำเลยที่ 1 และใช้โทรศัพท์มือถือปาไปที่จำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุมีแสงไฟภายในบ้านและแสงไฟสาธารณะบริเวณหน้าบ้าน จึงมองเห็นใบหน้าจำเลยที่ 1 ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังพยานโจทก์ยังบอกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสเกตช์ภาพคนร้ายได้อย่างถูกต้องและเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกจับกุมก็รับสารภาพต่อหน้าสื่อมวลชนและผู้คนจำนวนมาก พร้อมทั้งนำชี้ที่เกิดเหตุและไม่ได้ปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริง อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น ส่วนจำเลยที่ 2 คนขี่จักรยานยนต์พาจำเลยที่ 1 หลบหนี โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความว่ารู้เห็น จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดหรือไม่ ลำพังพยานหลักฐานโจทก์ที่มาเบิกความยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2551 ศาลได้พิพากษายกฟ้อง นพ.ไพศาล หรือ กวีวัธน์ เฮงสวัสดิ์ อายุ 43 ปี เจ้าของสถาบันเสริมความงามไบโอคลินิก ย่านดอนเมือง กรณีถูกพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และนางรวีวรรณ เสตะรัต (เสียชีวิตแล้ว) ยื่นฟ้องฐาน ฉ้อโกงประชาชน และประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส กรณีเปิดให้บริการทำศัลยกรรมเสริมความงาม โดยใช้วิธีการเทคนิคพิเศษ ใช้สารไบโอศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ซึ่งเป็นสารที่ไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและใช้แล้วเกิดผลกระทบข้างเคียง เมื่อระหว่างเดือน เม.ย. 2546 - มี.ค. 2548 ซึ่งศาลยกฟ้อง เนื่องจากพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว ยังรับฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงประชาชน อีกทั้งขั้นตอนการผ่าตัดก็ได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์ฯ