“ทนายสุวัตร” อดีตทนายความ “เอกยุทธ” ยื่นฟ้องศาลอาญาดำเนินคดี “นพดล ปัทมะ” ทนายความทักษิณ 2 ข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โพสต์เฟซบุ๊กประจานเป็นทนายตัวอย่างเลว!
เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 19 ส.ค. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรฯ อดีตทนายความนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังที่ถูกอุ้มฆ่าเสียชีวิต พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรา แสงขาว และนายประพันธ์ คูณมี ทนายความ เดินทางมายื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งภายหลังศาลได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.3000/2556 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 21 ต.ค.2556 เวลา 10.00 น.
โดยนายสุวัตร เปิดเผยว่า วันนี้ได้ยื่นฟ้องนายนพดล ปัทมะ ใน 2 ข้อหา คือ ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) จากกรณีเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เปิดแถลงข่าวที่สำนักทนายความ เพื่อยืนยันว่าตนได้ส่งทนายความไปพบ นายบอล หรือนายสันติภาพ เพ็งด้วง ที่เรือนจำจริง โดยนายสันติภาพให้การรับสารภาพว่ามีทีมสังหารนายเอกยุทธ อัญชันบุตร แต่ในตอนแถลงข่าวตนก็ยังไม่เชื่อคำให้สารภาพของนายบอล จึงขอให้พนักงานสอบสวน บช.น.สืบสวนในประเด็นที่ตนตั้งข้อสังเกตดังกล่าว
จากนั้นนายนพดล ปัทมะ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก หมิ่นประมาทตนเองติดต่อกัน 2 วัน คือวันที่ 15-16 ส.ค.2556 มีข้อความกล่าวหาทำนองว่า “ตนเป็นทนายความที่กุเรื่อง บิดเบือน ใส่เรื่อง ใช้จินตนาการ เพื่อใส่ร้ายทักษิณ อยู่เบื้องหลังการสังหารนายเอกยุทธ เป็นเรื่องที่เหลวไหล เลอะเทอะ น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง และเป็นทนายตัวอย่างที่เลว ซึ่งระบุว่าจะแจ้งความเอาผิดตนเอง เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างที่เลวในสังคมไทย ที่นำเรื่องความเท็จมาแต่งเพื่อใส่ร้ายคนอื่นเพื่อหวังผลทางการเมือง”
นายสุวัตร กล่าวว่า ตนไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน เป็นทนายความอาชีพ จึงไม่เคยหวังผลทางการเมือง นอกจากหวังผลทางคดีเท่านั้น ตนเองเป็นนักกฎหมาย คงไม่ทำผิดกฎหมายเสียเอง ที่แถลงข่าวนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ครั้งสุดท้ายดังกล่าวก็ เพื่อปกป้องผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองในฐานะทนายความและเป็นการพูดเพื่อติชมเท่านั้น
ส่วนที่นายนพดลจะแจ้งความพนักงานสอบสวนเพื่อเอาผิดตนเองในข้อหาหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นตนไม่เคยกลัว เพราะมีความมั่นใจมากและ เคยว่าความในคดีหมิ่นประมาทมากว่า 100 คดี นับว่าเป็นทนายที่ว่าความคดีหมิ่นประมาทมากที่สุดในประเทศไทย เช่น คดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องหมิ่นประมาท นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวกหลายคดี ซึ่งศาลก็ได้พิพากษายกฟ้องหมดเกือบทุกคดี ตนยังแปลกใจว่าทำไมนายนพดล ซึ่งเป็นทนายความไม่มาฟ้องต่อศาลด้วยตัวเอง ทำไมต้องไปแจ้งความให้เปลืองภาษีประชาชน
“ตนเป็นมวยชกไม่ใช่มวยรำ เมื่อเป็นเช่นนั้น ตนจึงได้มาฟ้องนายนพดลก่อน “ นายสุวัตร ระบุ
เขายังกล่าวต่อว่า ความจริงตนอยากให้นายสมชาย จิตปรีดากร กรรมการบริษัททรีวิวจำกัด มายื่นฟ้องตนเองมากว่า พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะว่านายสมชายอยู่ในประเทศไทย และสามารถมาเบิกความต่อศาลได้ และตนเองมีประเด็นที่จะซักถามนายสมชาย หลายประเด็น เช่น นายสมชายเคยพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ จีนหรืออเมริกาหรือไม่, เดินเข้าออกพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และเคยได้รับงานประมูลสัมปทานมูลค่าจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งนายสมชายก็ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน และให้ปากคำไปแล้ว โดยอ้างว่าไม่รู้จักกับนายบอล หรือ นายสันติภาพ เพ็งด้วง แต่เคยทำงานด้วยกันจริง แต่เป็นเพียงพนักงานขับรถปลายแถวของบริษัทเท่านั้น ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ซึ่งถ้าหากตำรวจจะสอบสวนจริงๆ ทำไมจะสอบสวนไม่ได้ว่านายสมชายเคยไปที่พรรคเพื่อไทยจริงหรือไม่
นายสุวัตรยังกล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้กำลังหาหลักฐานเรื่องความสัมพันธ์ของนายสันติภาพและนายสมชายอยู่ เชื่อว่าหากถึงเวลาสู้คดีจริงข้อมูลและหลักฐานคงจะพร้อม
ส่วนเรื่องคดีนายเอกยุทธนั้นเมื่อตำรวจส่งสำนวนคดีไปให้พนักงานอัยการแล้วตนก็คงจะไม่ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เพราะว่าตนได้ถอนตัวยุติบทบาทจากการเป็นทนายความให้นายเอกยุทธ อัญชันบุตรแล้ว แต่หลังจากนี้ตนเองจะเดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.พหลโยธิน เพื่อให้ตำรวจได้ทราบว่าชีวิตตนมีความเสี่ยง อยู่ในอันตราย และได้ทำคดีอะไรอยู่บ้าง
ด้าน ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เปิดเผยถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังถูกอุ้มฆ่าเสียชีวิต พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนยังไม่เห็นสำนวนคดีดังกล่าว ขณะนี้ทางอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยทางอัยการคงจะพิจารณาสำนวนคดีอย่างละเอียดเพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ เชื่อว่าทางอัยการจะสามารถสั่งคดีได้ตามระยะเวลาฝากขังผู้ต้องหา ทั้งนี้หากมีประเด็นที่จะให้สอบสวนเพิ่มเติม ก็จะให้พนักงานสอบสวนรีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน เนื่องจากหากครบกำหนดฝากขังแล้วยังพิจารณาสำนวนไม่เสร็จก็จะต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป และหากมีคำสั่งก็จะต้องให้พนักงานสอบสวนนำตัวมาส่งฟ้องอีกครั้ง ส่วนกรณีที่ทนายความระบุว่าผู้ต้องหากลับคำให้การนั้น ก็คงจะต้องดูไปตามข้อเท็จจริงในสำนวน อย่างไรก็ตามทางอัยการจะพยายามสั่งคดีให้ทันตามกำหนด ซึ่งหากอัยการมีความเห็นเป็นอย่างไรก็จะรายงานให้ตนทราบอีกครั้ง