xs
xsm
sm
md
lg

บก.ไทยพีบีเอส ให้ปากคำ ปอท.โพสต์ข้อความทางการเมือง ตร.ยังไม่แจ้งข้อหา

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ เป๊ปซี่ อดีตผู้สื่อข่าวสายทหาร นสพ.บางกอกโพสต์ ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสพร้อม นายนคร ชมพูชาติ ทนายความ เข้าพบ พ.ต.อ.วรรณวุฒิ ชาญนุกูล รอง ผบก.ปอท. เเละพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ หลังถูกออกหมายเรียกกรณีที่ ใช้นามแฝง Sermsuk Kasitpradit ในเครือข่ายเฟซบุ๊ก โพสต์ข้อความบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก
บรรณาธิการข่าวการเมืองและสังคม ไทยพีบีเอส เดินทางมาพร้อมทนายความ พบพนักงานสอบสวน ปอท. ให้ปากคำกรณีโพสต์ข้อความทางการเมือง เบื้องต้นขณะนี้ตำรวจยังไม่แจ้งข้อหาต้องสอบข้อเท็จจริงก่อน ด้าน 4 องค์กรสื่อออกแถลงการณ์อัดกรณีดังกล่าวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนพึงกระทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ!ตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญรับรองและให้ความคุ้มครองไว้ มิได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนก หรือก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในบ้านเมืองแต่อย่างใด ชี้ตำรวจอาจใช้อำนาจเกินขอบเขตเข้าข่ายละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ!



วันนี้ (9 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือเป๊ปซี่ อดีตผู้สื่อข่าวสายทหาร นสพ.บางกอกโพสต์ ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมนายนคร ชมพูชาติ ทนายความ เข้าพบ พ.ต.อ.วรรณวุฒิ ชาญนุกูล รอง ผบก.ปอท. เเละพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ หลังถูกออกหมายเรียกกรณีที่ ใช้นามแฝง “Sermsuk Kasitpradit” ในเครือข่ายเฟซบุ๊ก โพสต์ข้อความบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก

นายนครเปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาตามนัดหมายที่เจ้าหน้าตำรวจได้เรียก ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เเจ้งข้อกล่าวหา เพียงเเต่เรียกมาเพื่อให้ข้อมูลและชี้แจงทำความเข้าใจในสิ่งที่นายเสริมสุขได้โพสต์ข้อความ ซึ่งอาจไปส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ทีแรกคุณเสริมสุขได้โพสต์ข้อความเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่โพสต์นั้นคืออะไร มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ก่อนจะโพสต์อีกข้อความตามมาว่า ข่าวที่โพสต์ในตอนเเรกนั้นไม่น่าจะเป็นความจริงและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ อีกทั้งได้บอกเจตนาในการโพสต์ข้อความให้พนักงานสอบสวนได้เข้าใจแล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์และไม่ทำให้นายเสริมสุขต้องเป็นผู้ต้องหา

ด้านนายเสริมสุขกล่าวว่า มีการโพสต์เรื่องที่ลือกันว่าจะมีการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งตนในฐานะสื่อมวลชนและคลุกคลีอยู่กับทหาร พอมีเหตุการณ์แบบนี้ตนก็ได้พูดคุยกับนายทหาร และมีความคิดเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่จริง ไม่น่าเชื่อถือ จึงได้โพสต์ข้อความชี้แจงให้คนในสังคมได้รับรู้ว่าข่าวลือพวกนี้ไม่จริง

ทางด้าน พ.ต.อ.วรรณวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา อยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล เพราะว่าเมื่อใครโพสต์ข้อความใดที่เข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่ก็จะเชิญมาให้ปากคำ แต่การจะกล่าวหาว่าใครผิดหรือถูกนั้นขึ้นอยู่กับการสอบสวน พยานหลักฐานและเจตนาของผู้ที่โพสต์ไม่ใช่จะมุ่งจับทุกคนทั้งหมด สำหรับนายเสริมสุขถ้าผิดก็จะแจ้งข้อหาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สำหรับอีก 3 คนที่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกมาให้ปากคำนั้น ตอนนี้เข้ามาพบแล้ว 2 รายอีก 1 รายอยู่ระหว่างการติดต่อ ซึ่งทั้งหมดเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งข้อหาต่อผู้ใด และสำนวนการสอบสวนของแต่ละคนนั้นถูกแยกออกจากกันเป็นคนละสำนวน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า การโพสต์ข้อความที่เป็นเท็จและก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) เรื่องการนำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทำให้กระทบต่อความมั่นคง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท รวมทั้งผู้ที่กดไลก์และกดแชร์ก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน

วันเดียวกัน 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ ออกจดหมายเปิดผนึกกรณีกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. ออกหมายเรียกบุคคลที่แสดงความคิดเห็นผ่านสังคมออนไลน์เป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยมีเนื้อหาระบุว่า

ตามที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ออกหมายเรียกบุคคลที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ที่โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก จำนวน 4 ราย ซึ่งในจำนวนดังกล่าวรวมถึงนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการอาวุโสสายข่าวการเมืองและความมั่นคงองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ Thai PBS นั้น

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ร่วมกันพิจารณากรณีนี้แล้วเห็นว่าการโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ของบุคคลดังกล่าว ถือเป็นเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลตามสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและให้ความคุ้มครองไว้ มิได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนก หรือก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในบ้านเมืองแต่อย่างใด

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงควร ใช้ดุลยพินิจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อย่างเป็นธรรม โดยการตีความบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด และไม่ควรใช้ความเชื่อหรือแรงกดดันทางการเมืองในการใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ อันมีลักษณะเป็นการข่มขู่ให้เกิดความกลัวแก่ประชาชนทั่วไปในการสื่อสารแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้

นอกจากนี้ องค์กรวิชาชีพสื่อทั้ง 4 องค์กร ยังเห็นว่าการกด like หรือ กด Share เป็นปรากฎการณ์ปกติและเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในสังคมออนไลน์ที่นิยมแสดงความคิดเห็นระหว่างกัน (Interactive) ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรตีความว่า การกด Like คือการร่วมลงชื่อรับรองข้อมูลอันเป็นความผิดดังกล่าว แม้มิได้เจตนาโดยตรงแต่เป็นเจตนาเล็งเห็นผลว่าการ Like นั้นให้ข้อมูลได้รับความเชื่อถือมากขึ้นย่อมเข้าองค์ประกอบความผิดในฐานะตัวการร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา

ทั้งนี้ การกด Like หรือกด Share ดังกล่าวต้องไม่เป็นการกระทำตามบทบัญญัติมาตรา 14 (5) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยเจตนาเล็งเห็นผล (ซึ่งอาจได้รับโทษฐานเป็นตัวการร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83) กล่าวคือ ต้องไม่เป็นการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือข้อมูล คอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หรือโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญาหรือข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้

อย่างไรก็ตาม ขอให้สื่อมวลชนที่แสดงความคิดเห็นผ่านสังคมออนไลน์พึงตระหนักว่าสื่อสังคมออนไลน์ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว แต่เป็นพื้นที่สาธารณะ ดังนั้นการแสดงความคิดเห็นใดๆ จึงควรยึดถือแนวปฏิบัติสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของสื่อมวลชน พ.ศ. 2553 เป็นสำคัญ


ภาพจากเฟซบุ๊ก Sermsuk Kasitipradit

ภาพจากเฟซบุ๊ก Sermsuk Kasitipradit




กำลังโหลดความคิดเห็น