ฮือฮา! รอง ผบ.ตร.เปิดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.จับคู่ย้าย.com ให้ตำรวจใน สตช.ใช้เป็นช่องทางขอโยกย้ายสลับปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่ต้องการตรงกัน เพื่อแก้ไขปัญหากำลังพลขาดแคลน
วันนี้ (15 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง รอง ผบ.ตร แถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.จับคู่ย้าย.com เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งให้ข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะขอโยกย้ายสามารถตรวจสอบตำแหน่งและจับคู่สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังพล
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงความเป็นมาที่จัดทำเว็บไซต์ www.จับคู่ย้าย.com ว่านับตั้งแต่ตนเริ่มรับราชการตำรวจเมื่อ ปี พ.ศ. 2521 จนกระทั่งได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรอง ผบ.ตร.เมื่อปี พ.ศ. 2555 นับเป็นเวลา 35 ปี ได้มีประสบการณ์ตรงทั้งที่พบด้วยตนเองและจากเพื่อนข้าราชการตำรวจทุกระดับ พบว่าข้าราชการตำรวจโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับ รอง สว. และชั้นประทวนประสบปัญหาเดือดร้อน อันเนื่องมาจากการแต่งตั้งมาโดยตลอด ทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขวัญและกำลังใจ เป็นผลให้ข้าราชการตำรวจไม่ทุ่มเท อุทิศตน ทำงานไม่เกิดประสิทธิภาพและบรรลุผลตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติคาดหวัง
“ที่ผ่านมาการแต่งตั้งโยกย้ายสับเปลี่ยนไม่สามารถดำเนินการได้อันเนื่องมาจากขาดคุณสมบัติ หรือไม่ครบเงื่อนไขตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว ส่วนสำคัญคือ เกิดจากการที่ต้นสังกัดไม่ยินยอมปล่อยตัวข้าราชการตำรวจ เนื่องจากกลัวการขาดแคลนกำลังพลทดแทน กรณีการขัดระเบียบกฎเกณฑ์นั้น ตนเห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การโยกย้ายมาโดยตลอดและยังคงปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวการณ์อยู่ตลอดเวลา สำหรับกรณีเรื่องการขาดกำลังพลทดแทนนั้น จึงเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน และสามารถดำเนินการได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขระเบียบหลักเกณฑ์แต่ประการใด ปัญหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คือ ข้าราชการตำรวจที่เดือนร้อนมีความประสงค์ที่อยากจะโยกย้ายไปเพื่ออุปการะครอบครัว ไปเพื่อทำงานในสายงานที่ตนเองมีความชำนาญ ไม่สามารถขอรับการแต่งตั้งโยกย้ายได้เนื่องมาจากตำแหน่งปลายทางไม่ว่าง หรือไม่มีผู้สมัครใจสลับปรับเปลี่ยน ดังนั้นทางแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่ทำให้ข้าราชการตำรวจที่เดือดร้อนและต้องการโยกย้ายได้มีข้อมูลของตำแหน่งที่ต้องการจะย้ายหรือตัวบุคคลที่ต้องการสลับสับเปลี่ยน นี่จึงเป็นที่มาของแนวความคิดเรื่องการจับคู่ย้าย” "พล.ต.อ.สมยศกล่าว
ทั้งนี้ เว็บไซต์ www.จับคู่ย้าย.com เป็นช่องทางให้ข้าราชการตำรวจทุกคนที่ต้องการย้ายหน่วยงาน สามารถยื่นความประสงค์ผ่านช่องทางนี้ได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนกำลังพลได้อีกด้วย โดยมีแนวความคิดการบริหารงานบุคคลเป็นงานสำคัญ ข้าราชการตำรวจมีการแต่งตั้งและรับบุคลากรเพิ่มทุกปี มีข้าราชการตำรวจจำนวนไม่น้อยเดือดร้อนด้วยเหตุผล หลายประการจากการแต่งตั้ง ช่องทางนี้จะช่วยให้ตำรวจได้มีโอกาสย้ายไปตำแหน่งที่ตนเองต้องการ ตัดปัญหาข้อขัดข้องในเรื่องของกำลังพลขาดแคลน เพราะทุกคู่ที่จับคู่ย้ายกันจะมีคนมาทดแทนในทันที เมื่อข้าราชการตำรวจได้มีโอกาสย้ายมาดำรงตำแหน่งที่ตนเองสมัครใจ ก็จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำงานให้กับหน่วยได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
สำหรับวิธีการใช้งานเบื้องต้น รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ผู้ขอใช้บริการจะต้องกรอกข้อมูลข้อมูลส่วนตัว ตำแหน่งปัจจุบัน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ รายละเอียดส่วนตัวอื่นๆ เพื่อยืนยันตัวบุคคล ตลอดจนตำแหน่งที่ต้องการจะย้ายไปสังกัด และส่งมายังทีมงานของ website จากนั้นทีมงานจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติและยืนยันตัวบุคคลทุกราย ก่อนประกาศลงใน website เมื่อพบข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะสลับตำแหน่งกัน ทั้งคู่ก็จะสามารถติดต่อพูดคุยกันโดยตรง ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่งานกำลังพล และเมื่อถึงวาระแต่งตั้งประจำปีก็สามารถดำเนินการได้ โดยตำรวจทั้งสองต้องแจ้งความประสงค์และประสานกำลังพลต้นสังกัด เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทันที ซึ่งไม่มีผลกระทบกับผู้ใด เพราะต่างฝ่ายต่างสลับตำแหน่งกันภายใต้พื้นฐานของความสมัครใจ แล้วในกรณีข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะสลับตำแหน่งกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ก็สามารถทำได้ภายใต้พื้นฐานของความสมัครใจเช่นเดียวกัน
“การจับคู่ย้ายของข้าราชการตำรวจทุกราย ผู้ขอรับการแต่งตั้งจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน และการแต่งตั้งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด เอกสารที่ต้องเตรียมประกอบด้วย แบบคำร้องขอลงข้อมูลใน www.จับคู่ย้าย.com (สามารถ download ได้ภายใน website) โดยให้กรอกข้อมูลให้ครบทุกช่อง แบบคำร้องขอรับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรอง สว.ลงไป ในกรณีร้องขอ (สามารถ download ได้ภายใน website) โดยให้กรอกข้อมูลเฉพาะในส่วนครึ่งหน้าแรกเท่านั้น และในส่วนของความเห็นผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ไม่ต้องกรอก สำเนาบัตรข้าราชการ” รอง ผบ.ตร.ระบุ