ศาลจำคุกคนละ 2 ปี 1 เดือน นศ.ป.โทรามฯ และคู่หู กระทืบ รปภ.บาดเจ็บสาหัส แต่ให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือจำคุกคนละ 1 ปี 15 วัน ปรับเงิน 500 บาท ระบุจำเลยกระทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อายุยังน้อย ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี จึงรอลงอาญาไว้ 3 ปี
เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (31 ก.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้อง นายปัญจพล เตือนภักดี อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ โครงการภาคพิเศษ ม.รามคำแหง และนายภาสัน รอดเกิด อายุ 24 ปี นักศึกษาปริญญาโท ม.รามคำแหง ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส
จากกรณีเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา นายปัญจพล กับพวกรวม 7 คนได้ใช้ไม้รุมทำร้ายร่างกาย นายทวิชาติ สร้อยมาศ อายุ 52 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียหาย จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกนายทวิชาติห้ามไม่ให้นำรถยนต์เข้ามาจอดบริเวณด้านข้างอาคาร ซึ่งเป็นพื้นที่ห้ามจอดภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัดศาลได้สอบถามจำเลยทั้งสองว่า ได้มีการพบปะพูดคุยกับผู้เสียหายบ้างหรือไม่ โดยจำเลยแถลงต่อศาลว่า หลังเกิดเหตุก็ได้พบปะกับผู้เสียหายหลายครั้ง รวมทั้งนัดรับประทานอาหารกับผู้เสียหายด้วย และทราบว่าผู้เสียหายมีอาการดีขึ้น โดยกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน อีกทั้งสามารถเดินได้แล้ว นอกจากนี้ก็ได้มีการชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 2.2 แสนบาทแก่ผู้เสียหาย รวมทั้งค่าเสียเวลาและค่าอื่นๆ ซึ่งได้ลงบันทึกไว้ในรายการสืบเสาะของเจ้าพนักงานคุมประพฤติ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 (8) และมาตรา 391 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 โดยให้จำคุกคนละ 2 ปี ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่อันตรายสาหัส และให้จำคุกคนละ 1 เดือน ปรับคนละ 1,000 บาท ในความผิฐานฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่น โดยไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย ทั้งนี้จำเลยรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่อันตรายสาหัส คนละ 1 ปี ฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่น โดยไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย จำคุกคนละ 15 วัน ปรับคนละ 500 บาท
โดยเห็นว่าแม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการอุกอาจและไม่เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นการทำร้ายเพราะเกิดจากการพูดจากระทบกระทั่งกันทั้งสองฝ่าย ทำให้จำเลยซึ่งอายุยังน้อยไม่สามารถระงับโทสะได้ อีกทั้งผู้เสียหายได้เบิกความยอมรับว่าขณะเกิดเหตุได้พกอาวุธขวานไว้เพื่อป้องกันตัว และได้ฟันไปที่จำเลยทั้งสองแต่ไม่โดนจำเลย ซึ่งการกระทำผิดของจำเลยไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมชั่วร้าย และจำเลยทั้งสองประกอบอาชีพสุจริต มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งไม่เคยมีประวัติการต้องโทษมาก่อน รวมทั้งได้ชดใช้เงินจนเป็นที่พอใจของผู้เสียหาย ขณะที่ผู้เสียหายได้ขอให้รอลงอาญาจำเลยทั้งสอง เพราะจำเลยทั้งสองได้บรรเทาเหตุโดยได้ชดใช้เงินจนเป็นที่พอใจแล้ว โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 3 ปี และให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี และทำประโยชน์สาธารณะคนละ 48 ชั่วโมง
