“ทูตสหรัฐอเมริกา” เข้าพบ “รมว.ยุติธรรม” ปัดหารือถอนวีซ่า “สมีคำ” ด้าน รมว.ยุติธรรมเผยผลักดันหรือส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง ต้องดูจังหวะเหมาะสม ติงควรรอให้สรุปสำนวนชัดก่อน พร้อมเปิดโอกาสสู้คดี หวั่นคดีพลิก
วันนี้ (25 ก.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม นางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบนายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเยี่ยมคารวะหลังรับตำแหน่ง โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที โดยนางคริสตีกล่าวว่า สหรัฐฯ มีความยินดีที่จะร่วมมือกับทางการไทยในการพัฒนากระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ซึ่งประเทศไทยถูกจัดลำดับให้เป็นประเทศต้องจับตามอง โดยนโยบายดังกล่าวนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยหารือร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในการร่วมกันแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม นางคริสตี้ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกรณีที่ทางการไทยขอให้ทางการสหรัฐอเมริกาเพิกถอนวีซ่านายวิรพล สุขผล หรืออดีตเณรคำ พร้อมกันนี้ยังไม่มีการหารือในเรื่องดังกล่าวกับ รมว.ยุติธรรมแต่อย่างใด
ด้านนายชัยเกษมเปิดเผยว่า ตนไม่ได้มอบหมายนโยบายใดเป็นพิเศษเกี่ยวกับทำงานในคดีดังกล่าว ซึงขั้นตอนขณะนี้ยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ปกติของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และดีเอสไอได้ดำเนินการไประดับหนึ่งแล้ว ซึ่งตนเห็นว่าควรรอให้คดีสรุปสำนวนก่อน ในฐานะอดีตอัยการสูงสุดมองว่าในทางปฏิบัติไม่ว่าช่องทางการส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือการผลักดันกลับประเทศสามารถทำได้ทั้งสองทาง แต่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของจังหวะเวลา ขณะนี้ยังเป็นเพียงการประสานงานระหว่างทางการไทยและสหรัฐฯ
“ช่องทางการส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็สามารถทำได้แต่ต้องรอให้สำนวนเสร็จสิ้นก่อน ส่วนการผลักดันกลับประเทศขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่ได้รับการประสาน เช่น หน่วยงานสากลที่เกี่ยวข้องขณะนี้ยังเร็วเกินไป เพราะอีกฝ่ายก็กำลังพยายามต่อสู้ ซึ่งต้องรับฟังทุกฝ่าย เพราะกระบวนการยุติธรรมต้องมีการรับฟังกัน อย่าคิดว่าสิ่งที่เห็นคือสิ่งที่ถูกต้องรอให้หมดข้อสงสัยก่อน หากทำมาแล้วออกไปอีกทางก็อาจจะหน้าแตกได้” รมว.ยุติธรรมกล่าว
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กล่าวว่า กงสุลไทยประจำสหรัฐฯ ให้ข้อมูลกับดีเอสไอมาแล้วว่าได้ส่งข้อมูลการถอนหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ไปให้หน่วยงานต่างๆ ในสหรัฐฯ แล้ว ขณะเดียวกันยังได้รับการแจ้งจากสมาชิกกลุ่มชุมชนต่อต้านยาเสพติดและอาชญากรรมที่มีสมาชิกเป็นประเทศกลุ่มยุโรปยืนยันกลับมาว่าอดีตเณรคำไม่ได้ทำวีซ่าเข้ากลุ่มประเทศเหล่านี้อย่างแน่นอน