ญาติทยอยรับศพอุบัติเหตุรถทัวร์

ญาติทยอยรับศพอุบัติเหตุรถทัวร์ร้อยเอ็ด บรรยากาศโศกเศร้า ผบก.นิติเวชเร่งตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลส่งศพให้ญาติ

ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อเวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่สถาบันนิติเวชวิทยาว่าเป็นไปอย่างโศกเศร้า มีญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์อุบัติเหตุรถประจำทางสายกรุงเทพมหานคร-ร้อยเอ็ด ทยอยเดินทางมาติดต่อรับศพ โดยมีเจ้าหน้าที่ของสถาบันนิติเวชวิทยาตั้งโต๊ะไว้ให้บริการญาติที่มารอรับศพ โดยให้ญาติแจ้งข้อมูลเพื่อยืนยันตัวบุคคลให้มากที่สุด ทั้งรูปถ่าย ประวัติการทำฟัน เครื่องประดับ เสื้อผ้า รูปพรรณสัญฐานตำหนิของผู้ตายเพื่อจะยืนยันตัวบุคคลให้ชัดเจน

พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า สถาบันนิติเวชฯ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทั้งหมด การผ่าศพจะหาสาเหตุการเสียชีวิตว่าเสียชีวิตก่อนหรือหลังไฟไหม้ นอกจากนั้นจะดูเรื่องของตำแหน่งที่นั่งของผู้เสียชีวิตเพื่อที่จะนำไปศึกษาแผนการป้องกันอุบัติเหตุ ว่าที่นั่งใดเสี่ยงที่จะเสียชีวิตและหาวิธีป้องกัน โดยคาดว่าจะสามารถตรวจพิสูจน์ได้แล้วเสร็จภายในวันนี้ หากญาติมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน

พล.ต.ต.นพ.พรชัยกล่าวอีกว่า การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์เบื้องต้นจะตรวจสภาพศพภายนอก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ส่วนสูง เพศ วัย เพศ ตำหนิรูปพรรณต่างๆ รอยสัก แผลเป็น เครื่องประดับต่างๆ เพื่อยืนยันตัวบุคคลในเบื้องต้น ถ้าญาติไม่สามารถจำสภาพภายนอกได้ก็จะให้นำประวัติการทำฟันมาเปรียบเทียบ หากไม่มีขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการดีเอ็นเอจะญาติที่ใกล้ชิดที่สุด คือ มีความสัมพันธ์เป็น พ่อ แม่ ลูก เพื่อง่ายในการเปรียบเทียบดีเอ็นเอซึ่งหากถึงขั้นต้องตรวจดีเอ็นเอจะทราบผลได้ภายใน 2 วัน

พล.ต.ต.นพ.พรชัยกล่าวอีกว่า ตอนนี้มีญาติมาติดต่อรับศพแล้วจำนวน 12 ราย สามารถยืนยันตัวบุคคลได้แล้ว 7 ราย คือ นายทศพร แก้วสุภา, นางนวลมณี ปิ่นบัณฑิต, นายอมรศักดิ์ อินทนพ, นายอำนาจ ชัยพอ, เด็กชายอธิชาติ ชัยพอ, นายสาคร สวัสดิ์ผล และนายชาญชัย แนบเสนา และอยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์อีก 12 คน เป็นผู้ชาย 4 คน และผู้หญิง 8 คน สำหรับเหตุการณ์นี้มีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งหมดรวม 21 คน และบาดเจ็บ 21 คน โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 19 คน และที่โรงพยาบาล 2 คน

นายธวัชชัย แก้วสุภา อายุ 51 ปี บิดานายทศพร แก้วสุภา กล่าวว่า เดินทางมารับศพลูกชายเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านที่ จ.นครพนม ก่อนเกิดเหตุลูกชายได้เดินทางไปหาภรรยาและลูกวัย 5 เดือนที่ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อทำบุญวันเข้าพรรษา และเดินทางจาก จ.ร้อยเอ็ดโดยรถทัวร์เที่ยวดังกล่าวเพื่อกลับไปทำงานที่ กทม. ตนเองก็ได้คุยกับลูกชายทางโทรศัพท์ก่อนเกิดเหตุก็ไม่ได้มีอะไร มีแต่แม่เขาที่บ่นว่่าไม่น่าจะกลับรถตอนกลางคืนน่าจะกลับตอนกลางวัน มารู้ข่าวว่ารถเกิดอุบัติเหตุก็ช่วงเช้าแล้ว ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวแบบนี้

ด้านนางทองรัก อินทนพ อายุ 48 ปี ภรรยานายอมรศักดิ์ อินทนพ อายุ 51 ปี คนขับรถทัวร์ กทม.-ร้อยเอ็ด เป็นคนขับรถคนแรกจากต้นทาง จ.ร้อยเอ็ด แล้วก็เปลี่ยนให้อีกคนขับ โดยขับรถของ บขส.มานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ขับเส้นทาง กทม.-ร้อยเอ็ดได้ 6 ปี ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรง มีแต่เฉี่ยวชนนิดหน่อย ล่าสุดสามีเดินทางกลับบ้านที่ จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางขึ้นรถโดยสารเพื่อไปทำงานขับรถที่ จ.ร้อยเอ็ด

นางทองรักกล่าวว่า ตนเคยบอกให้สามีเลิกขับรถเพราะอายุมากและไม่ค่อยได้หยุดอยู่บ้านโดยเฉพาะช่วงเทศกาล สำหรับครอบครัวมีลูกด้วยกัน 2 คน ลูกสาวอายุ 17 ปี และลูกชายอายุ 13 ปี ซึ่งลูกสาวเพิ่งคุยโทรศัพท์กับนายอมรศักดิ์ 22.48 น.คืนวันที่ 22 ก.ค.ก่อนเกิดเหตุ ทางญาติจะรับศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด จ.มุกดาหาร

ต่อมาเวลา 13.30 น.สถาบันนิติเวชได้ผ่าพิสูจน์ศพเสร็จเรียบร้อยญาติได้ทยอยรับศพเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลโดยทางมูลนิธิร่วมกตัญญูได้บริการส่งศพทั่วประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีญาติของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถพ่วง 18 ล้อ พุ่งชนรถโดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ-ร้อยเอ็ด บนถนนมิตรภาพฝั่งขาเข้า ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มาติดต่อรับศพ 18 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ศพได้แล้ว 17 ราย เป็นชาย10 ราย หญิง 7 ราย เหลือ 2 รายเป็นหญิงยังไม่สามารถยืนยันเอกลักษณ์บุคคลได้ คนหนึ่งรอตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบ อีกคนญาติยังไม่มาติดต่อ จากการตรวจสอบเบื้องต้นเป็นวินาศกรรมเเบบปิดที่มีรายชื่อและรู้จำนวนศพที่แน่นอนรวมทั้งมีพยานยืนยันผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยแพทย์ได้มีการเก็บหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งประวัติการทำฟัน และดีเอ็นเอ ของผู้เสียชีวิตกับญาติทุกรายเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตพบว่า 9รายเสียชีวิตจากการได้รับบาดเจ็บก่อนถูกไฟครอก ส่วนอีก 10 รายเสียชีวิตหลังจากไฟไหม้เนื่องจากมีการสำลักควัน

พล.ต.ต.พรชัย กล่าวอีกว้า ทางสถาบันนิติเวลได้ทำการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลืิอดของคนขับรถด้วย คาดว่าจะทราบผลภายใน 2วัน
ทั้งนี้ ยืนยันว่าแพทย์ได้มีการตรวจสอบอย่างละเอียด เชื่อว่าจะสามารถส่งศพให้ญาติได้ถูกต้อง

สถาบันนิติเวชวิทยาสรุปผลการชันสูตรพลิกศพและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในเบื้องต้น มีศพถูกส่งมาทั้งหมด 19 ราย เป็นชาย 10 หญิง 9 สามารถยืนยันดอกลักษณ์บุคคลได้แล้ว จำนวน 17 ราย เป็นชาย 20 ราย หญิง 7 ราย ยังไม่สามารถยืนยันเอกลักษณ์บุคคลได้ จำนวน 2 ราย โดยศพหมายเลข 1 คือนายทศพร แสงสุภา เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 2 เป็นหญิง ไม่ทราบชื่อ เสียชีวิตหลังไฟไหม้ หมายเลข 3เป็นหญิงไม่ทราบชื่อ เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข4 เป็นหญิง พรนิภา วันทอง เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ (อาจารย์วัดราชบพิธฯ)หมายเลข5 เป็นหญิง น.ส.ภรณ์นภา เสโน เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 6 เป็นชาย นายสัมฤทธิ์ วันทอง (อาจารย์โรงเรียนเซนต์คาเบรียล)เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 7 เป็นหญิง น.ส.จุฬีลักษณ์ สวรรค์น้อย เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 8 เป็นหญิงนางนวลมณี ปิ่นบัณฑิต เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 9 เป็นชายนายสุเทพ ไม่ทราบนามสกุล เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 10 เป็นชายนายอมรศักดิ์ อินทนพ (คนขับรถมือแรก)เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 12 เป็นหญิงไม่ทราบชื่อ เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 13 เป็นหญิง น.ส.เอมอร เทียมสิงห์(นศ.พยาบาลสภากาชาดไทย) เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 14 เป็นชายนายสาคร สวัสดิ์ผล เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 15 เป็นชายนายอำนาจ ชัยพอ เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 16 เป็นชายนายอนันต์ วงศ์อรุณ เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 17 เป็นหญิง น.ส.กัญญารัตน์ เดชพละ เสียชีวิตหลังถูกไฟไหม้ หมายเลข 18 เป็นชาย นายตะวัน เกียรติบุญญาฤทธิ์ เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้ หมายเลข 19 เป็นชาย นายชาญชัย แนบเสนา (คนขับรถขณะเกิดเหตุ)เสียชีวิตก่อนถูกไฟไหม้

ผศ.สุวรรณา กิตตินวรัตน์ อาจารย์ที่ปรึกษาน.ส.เอมอร พร้อมเพื่อนวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย ได้มาร่วมรับศพ โดยผศ.สุวรรณา กล่าวว่า น.ส.เอมอร เป็นเด็กดี การเรียนดี เป็นที่รักของเพื่อนๆ วันหยุดยาวก็ได้เดินทางกลับบ้านพร้อมเพื่อนอีก 1 คน การสูญเสียครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียบุคคากรทางการแพทย์เพราะแต่ละรุ่นจะผลิตพยาบาลแค่ 100 กว่าคนเท่านั้น