ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 75 ปี แม่เล้า-แมงดาหลอกสาวไทยใหญ่มาค้ากามร้านคาราโอเกะเมืองนครปฐม อ้างจะให้ทำงานแม่บ้านได้เงินเดือนสูง
ที่ห้องพิจารณา 804 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (9 ก.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีลอบค้าประเวณี หมายเลขดำ อ.1260/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.กัลยา กาวีระ อายุ 51 ปี และนายชยสิทธิ์ สุขันธ์ อายุ 26 ปี ทั้งสองเป็นชาว จ.นครปฐม เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปเพื่อค้ามนุษย์, ร่วมกันเป็นธุระจัดหาพาไปให้ทำการค้าประเวณีเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 24 ต.ค. 2553 - 11 ส.ค. 2554 ต่อเนื่องกัน จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังหลบหนี ได้ร่วมกันหลอกลวง น.ส.ติ๋ม (นามสมมติ) อายุ 15 ปีเศษ เชื้อชาติไทยใหญ่ สัญชาติพม่า กับหญิงไทยใหญ่อีก 8 คน ซึ่งมีอายุ 15 ปีเศษ จำนวน 6 คน และอายุกว่า 18 ปี อีก 2 คน ให้มาทำงานเป็นแม่บ้านที่ประเทศไทย โดยจะได้รับเงินเดือนสูง จนผู้เสียหายทั้ง 9 คนหลงเชื่อ แต่พวกจำเลยกลับพาผู้เสียหายมาบังคับให้ค้าประเวณีที่ร้านบ้านนกเขา คาราโอเกะ เลขที่ 151/82 ถ.ราชวิถี ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม หากขัดขืนก็จะถูกทำร้าย ทุบตี ต่อมา พ.ต.ท.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข สังกัด กก.5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิต่อต้านการค้ามนุษย์ภาคเหนือตอนบนว่ามีหญิงชาวไทยใหญ่ถูกหลอกมาค้าประเวณี จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม.ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวล่อซื้อบริการจาก น.ส.ติ๋ม ราคา 800 บาท โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นคนดูแลและเชียร์แขก จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมจำเลยพร้อมเงินล่อซื้อ และหญิงผู้เสียหายอีก 8 คน ส่งพนักงานสอบสวน ปคม.ดำเนินคดี
จำเลยให้การปฏิเสธ โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่ามีอาชีพเป็นแม่ครัว ส่วนจำเลยที่ 2 อ้างว่ามีอาชีพขับจักรยานยนต์รับจ้างบริเวณใกล้เคียงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายทั้ง 9 คนเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าถูกพวกจำเลยใช้อุบายหลอกลวงปกปิดข้อเท็จจริงให้มาทำงานที่ประเทศไทย ทั้งพนักงานสอบสวนชุดจับกุมก็เบิกความไปตามจริง ไม่มีเหตุที่จะใส่ร้ายปรักปรำจำเลย ซึ่งมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนข้ออ้างจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาตามมาตรา 283 วรรคสอง, มาตรา 83, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 11 วรรคสอง, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2550 มาตรา 6, 9 วรรค 10, วรรค 52 เป็นความผิดกรรมเดียว และผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันสนองความใคร่ผู้อื่น เป็นธุระจัดหาและพาไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย หญิงอายุไม่เกิน 15 ปี อันเป็นบทหนักสุด 7 กระทง จำคุกกระทงละ 9 ปี รวม 63 ปี และจำคุกฐานร่วมกันสนองความใคร่ผู้อื่น หญิงอายุกว่า 18 ปี อีก 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 ปี เป็น 12 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 75 ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) คงให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 50 ปี