ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นำหลักฐานเพิ่มเติมให้กองปราบเร่งออกหมายจับ “เณรคำ” เชื่อหลักฐานเพียงพอแล้วไม่ต้องรอออกหมายเรียก นอกจากนี้ยังแจ้งความเอาผิดผู้เกี่ยวข้องฐานรับของโจรด้วย ชี้โทษคุก 5 ปี!
เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ (5 ก.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.โดยนำหลักฐานเพิ่มเติมมามอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินคดีกับ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือ พระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ภายหลังได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้วก่อนหน้านี้
นายสงกรานต์ กล่าวว่าได้มายื่นเอกสารเพิ่มเติม เพื่อให้ทางพนักงานสอบสวนใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการขออนุมัติศาลออกหมายจับหลวงปู่เณรคำ หรือ พระวิรพล ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากน่าจะมีพยานหลักฐานต่างๆ เพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องออกหมายเรียก นอกจากนี้ได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ได้รับทรัพย์สินจากหลวงปู่เณรคำในข้อหารับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า หลังจากมีกรณีของหญิงสาวและเด็ก 3-4 คน ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับหลวงปู่เณรคำ นั้น ตนได้ประสานไปยัง นางปวีณา หงสกุล รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เพื่อช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองหญิงสาวที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล ว่ามีความสัมพันธ์กับหลวงปู่เณรคำ รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยด้วย
“ส่วนการตรวจสอบเรื่องเงินที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้น มีการส่งเรื่องให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้ร่วมพิจารณาแล้ว โดยภายในสัปดาห์หน้า ตนพร้อมด้วย พนักงานสอบสวน บก.ป.และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะเข้าพบ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส.ซึ่งในรายละเอียดต่างๆ ของข้อมูลที่จะประสาน ป.ป.ส.นั้น ยังไม่สามารถแถลงให้ทราบในขณะนี้” นายสงกรานต์ ระบุ
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า เนื่องจากกรณีของหลวงปุ่เณรคำ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องมีการประสานข้อมูลในการทำงานร่วมกัน ในชั้นนี้ตนได้ตั้งคณะพนักงานสอบสวนจากทั้ง กก.1 กก.3 และ กก.4 บก.ป.ขึ้นมารับผิดชอบเพื่อให้เกิดความครอบคลุมในทุกพื้นที่ และเร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป