xs
xsm
sm
md
lg

หนุ่มร้องสื่อถูก ตร.เมืองเพชร ยัดยาบ้า 1 เม็ด

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ปธ.ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กองปราบปราม กรณีสามีและน้องเขยถูก ตร.เมืองเพชรบุรียัดยาบ้า 1 เม็ด เตรียมประสานกองทุนยุติธรรมเพื่อหาหลักทรัพย์ประกันตัวสู้คดีต่อไป

วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้พานางสมลักษณ์ เนียมใหม่ อายุ 28 ปี นายสมเกียรติ เนียมใหม่ อายุ 19 ปี น้องชายนางสมลักษณ์ ซึ่งตกเป็นจำเลยคดีครอบครองยาบ้า 1 เม็ด และนายพิเชษฐ์ พุ่มนาค อายุ 40 ปี เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชน กรณีที่นายเลิศศักดิ์ จันทร์จวง อายุ 28 ปี สามีนางสมลักษณ์ถูกตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี ล่อซื้อและจับกุมคดียาบ้า พร้อมกับนายสมเกียรติ น้องเขย โดยมิชอบ และพาดพิงว่านายพิเชษฐ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็น เหตุเกิดที่ลานจอดรถศิรสิทธิ์แมนชั่น หมู่ 1 ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี ต่อเนื่องที่บ้านพัก และที่ สภ.เมือง เพชรบุรี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา

นายสมเกียรติกล่าวว่า ขณะที่กำลังช่วยนายเลิศศักดิ์ พี่เขยทำเคาน์เตอร์อยู่ที่ลานจอดรถของศิรสิทธิ์แมนชั่นอยู่นั้น มีตำรวจกลุ่มหนึ่งประมาณ 7-8 นายเดินเข้ามาหาและจับคอเสื้อตนจากด้านหลัง จากนั้นก็ซักถามตนกับพี่เขยว่าเอาของไปเก็บไว้ไหน ซึ่งตนก็ตอบกลับไปว่าของอะไรไม่รู้เรื่อง ตำรวจก็ถามอีกว่าเสพยาหรือไม่ ตนก็ตอบว่าไม่ได้เสพ แต่พี่เขยตนบอกว่าเคยเสพนานมาแล้วตอนนี้เลิกแล้ว

นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า ตำรวจจับตนใส่กุญแจมือและนำตัวไปพร้อมกับพี่เขย เพื่อไปตรวจค้นที่บ้านพักห่างจากจุดที่จับกุมกว่า 10 กิโลเมตร แต่ทั้งจุดที่จับกุมและบ้านพักก็ไม่พบยาเสพติดแต่อย่างใด แต่เมื่อไปถึงสถานีตำรวจก็ถูกนำตัวไปที่ห้องฝ่ายสืบสวนซึ่งตำรวจได้ข่มขู่ให้ตนรับสารภาพในคดีครอบครองยาบ้า 1 เม็ด หากไม่รับข้อหานี้ก็ถูกข้อหาจำหน่ายยาบ้าร่วมกับพี่เขย ส่วนตัวพี่เขยก็ถูกตำรวจข่มขู่และบังคับให้รับว่าจำหน่ายยาบ้า 1 เม็ดเช่นกัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ก่อคดีดังกล่าว ทั้งนี้ระหว่างที่ถูกจับกุมตำรวจก็ไม่ได้มีการนำตัวไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดแต่อย่างใด หลังจากนั้นก็มีการส่งสำนวนคดีเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน

ขณะที่นางสมลักษณ์กล่าวว่า เมื่อช่วงกลางวันของวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้โทรศัพท์หานายเลิศศักดิ์ สามี ทำให้ทราบว่าสามีและนายสมเกียรติ น้องชายที่ไปช่วยสามีทำเคาน์เตอร์อยู่ที่ศิรสิทธิ์แมนชั่นกำลังถูกตำรวจจับกุมในคดียาเสพคติด จึงรีบเดินทางไปหาก็พบตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังรื้อค้นรถของสามีอยู่ ส่วนสามีและน้องชายก็ถูกควบคุมตัวไว้ จึงสอบถามตำรวจไปว่ามาจับกุมในคดีอะไร มีหมายจับหรือไม่ แต่ตำรวจคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนั้นก็บอกว่าอย่างเขาไม่ต้องใช้หมาย ถ้ามีปัญหาให้ไปฟ้องร้องเอาเอง จากนั้นตำรวจก็บอกให้ตนไปรอที่สถานีตำรวจ

นางสมลักษณ์กล่าวอีกว่า เมื่อปี 2554 สามีเคยถูกจับกุมข้อหารับของโจรโดยไปเก็บของที่มีคนทิ้งไว้ข้างทางมาโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นของขโมยมา คดีดังกล่าวถูกตัดสินจำคุกปีกว่าๆ เพิ่งพ้นโทษมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 ช่วงที่อยู่เรือนจำก็เลยทำให้ทราบว่าสามีเสพยาเสพติดเพราะตรวจปัสสาวะพบ แต่หลังจากพ้นโทษสามีก็ไปเป็นลูกจ้างทำเฟอร์นิเจอร์ ก่อนออกมารับงานเองและมีน้องชายตนมาช่วยงาน

“หลังจากเกิดเรื่องดิฉันได้ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อ ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงมาขอความช่วยเหลือจากชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เนื่องจากคดีนี้สามีไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกดำเนินคดีทั้งที่ไม่ได้ทำความผิด” นางสมลักษณ์กล่าว

นางสมลักษณ์กล่าวด้วยว่า ช่วงที่ไปเยี่ยมสามีที่เรือนจำ เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำ และเพิ่งมาทราบว่าเขาป่วยหนัก อยู่ในเรือนจำได้รับแต่ยาแก้ปวด ส่วนลูกสาวตอนนี้ก็ต้องให้พักการเรียนไว้ก่อนเพราะเราต้องเดินทางไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ ไม่มีเวลาดูแล อย่างไรก็ดี หากถึงที่สุดพบว่าตำรวจกระทำผิดจริงก็ขอให้มีการดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญา

ด้านนายอัจฉริยะกล่าวว่า ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดแล้วพบว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ในบันทึกการจับกุมนั้นไม่ตรงกับเวลาที่ปรากฏในภาพวงจรปิด ส่วนเหตุการณ์ที่ตำรวจกล่าวอ้างว่าเป็นการล่อซื้อจับกุมยาบ้านั้น เมื่อตรวจสอบจากภาพวงจรปิดแล้วก็พบว่าไม่ได้เป็นการล่อซื้อ แต่เป็นการเข้าไปจับกุมทันที ซึ่งในช่วงจับกุมและตรวจค้นบ้านพักก็ไม่พบของกลางยาเสพติด แต่ต่อมากลับมีการแจ้งข้อกล่าวหานายเลิศศักดิ์ว่าจำหน่ายยาบ้า 1 เม็ด ส่วนนายสมเกียรตินั้นถูกแจ้งข้อหาครอบครองโดยกล่าวหาว่าซื้อยาบ้ามาจากพี่เขยตัวเอง

นายอัจฉริยะกล่าวด้วยว่า สำหรับยาบ้าของกลางนั้น ตำรวจกล่าวหานายเลิศศักดิ์ว่าไปซื้อต่อมาจากนายพิเชษฐ์ พุ่มนาค ทั้งที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนบ้านตรงข้ามกัน และในอดีตนายพิเชษฐ์จะเคยถูกจับกุมคดีค้ายาบ้า 30 เม็ด แต่ก็ได้รับโทษจำคุกและพ้นโทษออกมาแล้ว แต่ในคดีนี้กลับไม่มีการจับกุมนายพิเชษฐ์ทั้งที่มีการกล่าวหาว่านายเลิศศักดิ์ซื้อยาบ้ามาจากนายพิเชษฐ์ จึงต้องพานายพิเชษฐ์มาร้องขอความเป็นธรรมด้วยเพราะว่าได้รับความเสียหายทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งหลังจากร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมแล้วจะพาผู้เสียหายทั้งหมดไปร้องต่อกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องทนายความ และหลักทรัพย์ที่จะใช้ประกันตัวนายเลิศศักดิ์
กำลังโหลดความคิดเห็น