กองปราบร่วมกับ ปปง.ร่วมมือกันตรวจสอบกรณีฉาวโฉ่ของ “ไอ้คำ” ชี้เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ด้านประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตั้งข้อสังเกตจงใจเปิดเป็นสำนักสงฆ์ไม่ขึ้นทะเบียนเป็น “วัด” จัดตั้งบริษัททำธุรกิจโกยเงินเข้ากระเป๋า!
วันนี้ (3 ก.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 12.30 น. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.ธีรพงษ์ ดุลยวิจารณ์ รักษาการ ผอ.ข่าวกรองทางการเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร่วมกันแถลงข่าวกรณี หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ มีการกระทำที่เข้าข่ายขัดต่อพระธรรมวินัย และเป็นความผิดคดีอาญา ในหลายประเด็น โดยมีการร้องเรียนให้ทาง บก.ป.ได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ โดยนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมอบไว้ประกอบการพิจารณา
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า หลังจากทางพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปปง.แล้วพบข้อมูลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดเกิดขึ้นโดยเฉพาะกรณีเงินบริจาคที่เงินในบัญชีธนาคารหมุนเวียนเป็นจำนวนกว่า 200 ล้านบาท และกรณีการสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดย นายสงกรานต์ จึงประสงค์ ที่จะร้องทุกข์กล่าวโทษในวันเดียวกันนี้
ด้าน นายสงกรานต์ กล่าวว่า ตามที่ตนได้เคยร้องเรียนให้ทาง บก.ป.ได้สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำต่างๆ ของพระวิรพล กับพวก ซึ่งมีการประสานข้อมูลกับทาง ปปง.แล้ว ก็มีข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติม ว่าการทำบุญและบริจาคเงินในความเป็นจริงของชาวบ้านในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ นั้น ไม่มีกำลังพอที่จะบริจาคได้ในจำนวนมาก จึงเป็นที่สงสัยว่ารายได้จำนวนมากมายมหาศาลมาจากที่ใด สอดคล้องกับการตรวจสอบของ ปปง.ที่พบว่ามีเงินเข้าออกในบัญชีธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดระยะเวลา 2 ปี มีกว่า 200 ล้านบาท นอกจากนี้ตนยังมีข้อสังเกตุอีกว่า เหตุใดทางสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม จึงไม่ขอจดทะเบียนเป็นวัด และมีบริษัท ขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินต่างๆ ก็น่าจะเป็นความพยายามในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบนั่นเอง
นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ผมเปิดเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อรับแจ้งเบาะแสกรณีของหลวงปู่เณรคำ ก็มีข้อมูลเข้ามาเป็นจำนวนมาก การทำบุญบริจาคปรากฏตามข้อเท็จจริงว่า ประชาชนในพื้นที่ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ไม่น่าจะมีเงินทำบุญได้มากนัก อย่างมากก็หลักพันบาท อาจจะมีบ้างที่มีรายใหญ่ที่เป็นเจ้าของบริษัท ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่า มีรายได้ต่างๆ มาจากทางใด สอดคล้องกับทาง ปปง.ที่ตรวจสอบสถานะการเงินเข้าออกหมุนเวียนถึง 200 ล้านบาท ที่เป็นเหตุผลว่าทำไมพระวิรพลและพวกถึงตั้งสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ยอมจดทะเบียนเป็นวัด
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า เงินที่มีในบัญชีธนาคารของพระวิรพล ทำให้เห็นว่าการจัดงานกฐิน ผ้าป่า รายได้จากบุญกุศล พระวิรพล ได้อาศัยความเชื่อของพุทธศาสนิกชน รวมทั้งการออกหนังสือ เผยแพร่คลิปในยูทิวบ์ ส่วนรูปภาพที่ถ่ายกับหญิงสาว ที่อ้างว่าเป็นภาพตัดต่อ ล้วนปรากฏในเฟซบุ๊กของพระวิรพล ทั้งนั้น ขณะที่กรณีของ รพ.ร้อยเอ็ด เคยให้คณะกรรมการขอสอบยอดบัญชีพระวิรพล ที่นำมายื่น ก็ปรากฏว่า มียอดเงินไม่ถึง 4 แสนบาท จึงต้องตั้งคำถามว่า เงินบริจาคที่มีนับร้อยล้านบาทมาจากไหน นอกจากนี้กรณีของทองคำที่พระวิรพล อ้างว่ามีอยู่ถึง 8,000 กิโลกรัม นั้น ทางร้านทองซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้ประเมินแล้วว่าคิดเป็นเงินกว่า 9,000 ล้านบาท หากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องถามอีกว่า พระวิรพล มีธุรกิจอะไร และลูกศิษย์ บริวารที่เกี่ยวข้อง มีการทำกิจกรรมอะไรบ้าง
นายสงกรานต์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังขอตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมว่า ทางลูกศิษย์เณรคำ มักจะใช้คำว่ากรรมการบริหาร รวมทั้งโฆษกฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งคนที่เป็นคณะกรรมการในการจัดทำบุญ เขาไม่ใช้กัน แต่จะใช้เรียกกันว่า กรรมการวัด หรือคณะกรรมการจัดงาน ฯลฯ และเมื่อตรวจสอบไปยังสำนักพัฒนาธุรกิจการค้า ก็พบว่า บริษัท ขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด ได้จดทะเบียนเมื่อปี 2555 แต่ไม่มีการส่งงบการเงิน ตรงกับที่ นางลอน มนัส เจ้าของที่ดิน บอกว่า นายวิรพล เจตนาตั้งแต่ต้นที่จะไม่จัดตั้งวัดเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกตรวจสอบ
“พระแก้วมรกตจำลอง ที่พระวิรพล กล่าวอ้างว่าทำมาจากหยก นั้น ผมได้ประสานผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร ร่วมพิจารณาแล้ว พบว่าน่าจะทำด้วยเรซินผสมกับผงหินไม่ใช่หยก ซึ่งจะมีมูลค่าไม่น่าจะเกิน 30 ล้านบาท จึงต้องแจ้งความดำเนินคดีกับ พระวิรพล ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน” นายสงกรานต์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายสงกรานต์ ได้นำองค์พระแก้วมรกต ที่มีการจัดสร้างไว้เมื่อการฉลองปีกึ่งพุทธกาล หรือเมื่อ พ.ศ.2500 ที่มีการขออนุญาตจัดสร้างจากสำนักพระราชวัง อย่างถูกต้อง มีตราประทับด้านหลังองค์พระ ขึ้นมาแสดงต่อสื่อมวลชน เพื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่เกิดขึ้น
นายสงกรานต์ กล่าวว่า สำหรับสถานะทางสงฆ์ของพระวิรพล ก็ต้องขาดจากความเป็นพระสงฆ์แล้วด้วยตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และหากพิสูจน์ได้ด้วยว่า มีสีกาเป็นภรรยาและมีบุตร จริง ก็ต้องถือว่าขณะนี้ได้แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ยูทิวบ์ รวมทั้งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
ด้าน พ.ต.ท.ธีรพงษ์ กล่าวว่า ในส่วนของ ปปง.ก็จะติดตามตรวจสอบเส้นทางการเงินจากบัญชีธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นพบว่ามีอยู่ 16 บัญชี ซึ่งจะดูตั้งแต่ต้นทางและปลายทางที่มีการนำเงินเข้าออกมียอดเงินเท่าไหร่ จากนั้นก็จะประสานข้อมูลกับทาง บก.ป.เพื่อดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังได้รับการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากมีเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก มีผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องเรียกตัวมาสอบปากคำ โดยทุกขั้นตอนต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม จากนั้นจึงจะออกหมายเรียก พระวิรพล ต่อไป และหากมีความคืบหน้าทางคดีก็พร้อมจะแจ้งต่อสื่อมวลชนต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชน