ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์” ฟ้อง “กำนันโต๊ะเด็ง” ข้อหาแจ้งความเท็จ กล่าวหาถูกซ้อมทำร้ายให้รับสารภาพ คดีปล้นปืนปี 2547 ศาลชี้โจทก์เบิกความเพียงปากเดียว หลักฐานยังไม่เพียงพอ อีกทั้งจำเลยเคยนำฟันที่หักมาแสดงต่อศาล
ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (4 มิ.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 3613/2552 ที่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และอดีตรอง ผบ.ตร.เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอนุพงศ์ พันธชยางกูร หรืออดีตกำนัน ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส (อดีตจำเลยในคดีปล้นปืนกองพันทหารพัฒนาที่ 4 เมื่อปี 2547) เป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ, แจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา, รู้ว่าไม่มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น แต่แจ้งความว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
โดยโจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 นายอนุพงศ์ พันธชยางกูร หรือกำนันโต๊ะเด็ง จำเลยคดีนี้ได้ถูกพนักงานสืบสวนสอบสวนที่มี พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน จับกุมตัวเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2547 ในระหว่างที่ถูกนำตัวโดยเครื่องบินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีโจทก์คดีนี้เป็นหัวหน้าในการควบคุมตัวเพื่อไปสอบสวนที่กองปราบปราม จำเลยอ้างว่าถูกซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย เพื่อให้รับสารภาพในคดีปล้นปืนและคดีฆ่า ด.ต.ปัญญา ดาราฮีม และระบุอีกว่า หลังจากถูกนำตัวกลับจากกองปราบปราม มาควบคุมอยู่ที่ สภ.ตันหยง ยังได้ถูกโจทก์พร้อมด้วยตำรวจอีกหลายนาย ซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ต่อมานายอนุพงศ์จำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นอีกรวม 4 คนในข้อหาร่วมกันฆ่า ด.ต.ดาราฮีม ซึ่งศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 4 และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษยืนตามศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยคดีนี้ได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์ว่าได้ร่วมกับพวกซ้อมทรมานทำร้ายร่างกายต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวน และส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ต่อมา ป.ป.ช.ได้ชี้ว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่าโจทก์กับพวกรวม 19 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ โจทก์ซึ่งดำรงค์ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ควบคุมตัวจำเลยกับพวก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนมาโดยเครื่องบินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งการจับกุมและสอบสวนจะต้องกระทำเป็นความลับ ขณะที่บนเครื่องบินไม่มีบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคนกลางที่จะเล่าถึงเหตุการณ์บนเครื่องบินได้ ฝ่ายโจทก์มีเพียงโจทก์เบิกความเป็นพยานเพียงปากเดียว
เห็นว่าแม้ว่าการที่จำเลยแจ้งความเท็จจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ตัวจำเลยซึ่งเคยเป็นอดีตประธานสภาจังหวัดนราธิวาส ย่อมรู้ดีว่าการแจ้งความเท็จจะมีผลอย่างไร ประกอบกับในชั้นพิจารณาคดี จำเลยเคยได้นำฟันกรามที่หัก 2 ซี่มาเป็นหลักฐาน และเมื่อพิจารณาลักษณะของฟันกรามของจำเลยที่หลุดออกมา เป็นลักษณะฟันที่แข็งแรงคงไม่สามารถหลุดเองได้ หากไม่ถูกกระแทกด้วยความรุนแรง อีกทั้งยังมีผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนซึ่งอยู่บนเครื่องบินเบิกความว่า ระหว่างอยู่บนเครื่องบินได้ยินเสียงร้องของจำเลย พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง นายอนุพงศ์ หรือกำนันโต๊ะเด็ง กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ซึ่งตนก็เชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรมมาโดยตลอด ส่วนคดีทำร้ายร่างกายที่เคยไปร้องเรียนต่อดีเอสไอ ทาง ป.ป.ช.ก็ได้ชี้มูลว่า พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ไม่มีความผิด คดีจึงได้ยุติแล้ว เช่นเดียวกับคดีที่ตนตกเป็นจำเลยในคดีปล้นปืนเมื่อปี 2547 นั้น คดีก็ไสิ้นสุดแล้วเช่นกัน เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง หลังจากนั้นตนก็ได้ประกอบธุรกิจส่วนตัวและไม่ได้เป็นนักการเมืองท้องถิ่นแล้ว และไม่คิดจะฟ้องกลับหรือเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ กับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์อีก เพราะขณะนี้ทางภาคใต้กำลังมีการเจรจาสันติภาพ จึงไม่อยากให้คดีของตนเข้าไปเป็นประเด็นในเหตุการณ์ความรุนแรงอีก