xs
xsm
sm
md
lg

ผบ.ตร.เรียกประชุมคดีระเบิดยันไม่เกี่ยวไฟใต้

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

(แฟ้มภาพ)พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.
ผบช.น.เผยภายหลังสร่้วมทประชุมที่ สตช.กว่า 2 ชั่วโมง ยืนยันไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านโฆษก ตร.ขอเวลาไม่เกิน 7 วันคดีคืบ ด้าน ป.ตั้ง 4 แนวทางการสืบสวนหาคนร้าย

วันนี้ (27 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่หน้าปากซอยรามคำแหง 43 เมื่อค่ำวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งใช้เวลาในการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง

โดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภายหลังจาก ผบ.ตร.เข้ารับนโยบายกับนายกรัฐมนตรีแล้วก็ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อมาลงความเห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้าง โดยได้สั่งการให้เร่งรัดสืบสวนคดีดังกล่าว แต่ขอยืนยันว่าอุปกรณ์ทั้งหมดที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งตัวระเบิดพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องประกอบจากดินดำธรรมดาที่อานุภาพไม่รุนแรง โดยเชื่อว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้ไม่ต้องการความรุนแรง ส่วนสาเหตุเกิดจากอะไรนั้นจะต้องเป็นการบ้านที่ทาง บช.น.ต้องดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจและไม่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก แต่ที่ประชุมได้เน้นหนักพิจารณาไว้ 2 ประเด็น คือ 1. ขัดผลประโยชน์การค้าขาย 2. สร้างสถานการณ์ แต่ก็ยังไม่สามารถตัดประเด็นเกี่ยวกับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ ทิ้งไป เรายังไม่ฟันธงประเด็นใดประเด็นหนึ่ง แต่ยังต้องดูทุกจุดเหมือนเดิม โดยเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบว่าพื้นที่หน้ารามฯ มีกลุ่มที่มีอิทธิพลกลุ่มใดบ้าง ใครบ้างที่ได้รับประโยชน์ และมีผู้ต้องหาอยู่ในกลุ่มนั้นหรือไม่

พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีพบบัตรประจำตัวของข้าราชการครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ประชุมไม่ได้มีการหารือในเรื่องดังกล่าวเลย ทั้งนี้ในการวางกำลังครั้งต่อไปทาง บช.น.จะเพิ่มระดับความเข้มข้นมากกว่านี้ โดยจะเห็นว่าในช่วงระยะเวลาวางระเบิดเกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำ ซึ่งตรงนี้ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่เกิดความบกพร่องอย่างชัดเจน เราก็รับข้อผิดพลาดไปแก้ไข ซึ่งจุดเสี่ยงทุกจุด ทาง บช.น.ได้จัดเจ้าหน้าที่ลงเฝ้าอย่างเข้มข้น หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สุนัขตำรวจตรวจค้นพื้นที่ ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือและอย่าเพิ่งรำคาญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบความคืบหน้าหรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดอยู่ ทั้งของประชาชนและกล้องวงจรปิดของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งทาง ผบ.ตร.สั่งให้รายงานความคืบหน้าทุกระยะ

เมื่อถามต่อว่า เหตุระเบิดครั้งนี้เชื่อมโยงกับเหตุระเบิดใน กทม.เมื่อปี 2549 หรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังรายละเอียดทั้งหมดมาพิจารณา ต้องขอเวลาให้ตำรวจดำเนินการสักระยะหนึ่ง คิดว่าอีกไม่กี่วันจะมีความชัดเจนขึ้น

“วันนี้ผมได้สั่งการที่ บช.น.และ สน.หัวหมาก เร่งตรวจสอบพื้นที่ โดยทางเจ้าหน้าที่เทศกิจ และเจ้าหน้าที่ กทม.ได้ให้ความร่วมมือเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องปมความขัดแย้ง ซึ่งมีประโยชน์มาก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ทางเรากำลังดำเนินการติดตามอยู่” ผบช.น.ระบุ

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ และจากการตรวจสอบของฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าหลักฐานทั้งหมดน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จึงเหลือเพียง 2 ข้อสันนิษฐาน คือ เรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ และเรื่องสร้างสถานการณ์ป่วนตามหลักฐานที่มีอยู่ ทั้งกรณีของวัตถุพยานจุดที่วางระเบิด รวมทั้งการเคลื่อนย้ายและพยานหลักฐานใกล้เคียง โดยทาง ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ดูแลงานปราบปราม และ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.ดูแลงานด้านความมั่นคง พร้อมทั้งสั่งการให้ทาง บช.น.ลงเอกซเรย์พื้นที่ที่เกิดเหตุ และพื้นที่ใกล้เคียง ดำเนินการปิดล้อมค้นบ้านเช่า อพาร์ตเมนต์ รวมทั้งตรวจสอบหมายจับต่างๆ ตั้งแต่วันนี้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยขอเวลาไม่เกิน 7 วันในการดำเนินการเรื่องนี้

ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.กล่าว่า ตนได้สั่งการให้ชุดสืบสวนนำโดย พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.นิคม ชัยเจริญ สว.กก.1 บก.ป.พร้อมชุดสืบสวน ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ และประชุมร่วมกับชุดสืบสวนของ สน.หัวหมาก และ กก.สส.น.4 เพื่อประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีรายงานว่าในเย็นวันเดียวกันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมชุดสืบสวนทั้งในส่วนของ บช.น. บก.ป. และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อสรุปสถานการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง

มีรายงานข่าวว่า ในส่วนของ บก.ป.นั้น ได้แบ่งการตรวจสอบออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย ส่วนแรกซึ่งเป็นจุดที่วางระเบิด จากการตรวจสอบพบว่าระเบิดถูกวางไว้ระหว่างตู้โทรศัพท์กับเสาไฟฟ้า ทำให้แรงระเบิดกระจายออกมาได้เพียงสองด้านเท่านั้น ซึ่งการวางลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ต้องการจะให้เกิดความสูญเสียร้ายแรง หรือไม่ต้องการที่จะให้มีผู้เสียชีวิต เพียงแต่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย

ส่วนที่ 2 คือ ตัววัตถุระเบิด จากการตรวจสอบพบว่าระเบิดถูกบรรจุอยู่ในกล่องเหล็กบรรจุคุกกี้ขนาดเล็ก ดินระเบิดเป็นแบบธรรมดา มีสะเก็ดระเบิดเป็นตะปูขึ้นสนิม และต่อวงจรจุดระเบิดด้วยนาฬิกา ตั้งเวลาล่วงหน้า 2 ชั่วโมง จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบแล้วแตกต่างกับระเบิดที่ปรากฏในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มักใช้การจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือ และสะเก็ดระเบิดที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ก็มักจะใช้เป็นลูกปืนกลม หรือเหล็กเส้นตัดเป็นหุนเล็กๆ สำหรับส่วนที่ 3 คือ เป้าหมายที่ก่อเหตุ จากการสอบสวนเบื้องต้นยังไม่พบความชัดเจนว่าเป็นการขัดแย้งเรื่องตลาดในพื้นที่ อย่างไรก็ดี ในประเด็นนี้จะต้องรอผลการสอบปากคำจากตำรวจท้องที่อย่างชัดเจนอีกครั้ง เช่นเดียวกับประเด็นทางการเมืองก็จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย

ส่วนสุดท้าย ส่วนที่ 4 คือ ช่วงเวลาที่ก่อเหตุและเกิดระเบิด ในส่วนนี้เชื่อได้ว่าคนร้ายน่าจะนำระเบิดมาวางไว้ไม่เกินเวลา 18.00 น. เนื่องจากการวางระเบิดที่จุดระเบิดด้วยนาฬิกา จะต้องตั้งก่อนเวลาระเบิด 2 ชั่วโมง ซึ่งกรณีนี้เป็นหลักการโดยทั่วไป ดังนั้น แสดงว่าคนร้ายต้องนำระเบิดมาวางก่อนเวลา 18.00 น.เป็นต้นไป และเป็นช่วงที่มีคนพลุกพล่าน การจราจรติดขัด ส่วนเวลาที่ระเบิดราว 20.00 น.ต้องดูว่าช่วงเวลานั้นมีใครที่เข้าข่ายเป็นเป้าหมายการถูกลอบทำร้ายหรือไม่

แหล่งข่าวชุดสืบสวนระบุว่า จากการประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด พบว่าผู้ที่ประกอบระเบิดนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพ เพราะเป็นการประกอบระเบิดแบบทั่วไป ขณะที่ดินระเบิดก็เป็นแบบธรรมดาที่หาได้ไม่ยากนัก จึงเป็นไปได้ยากที่สาเหตุของระเบิดจากเกิดจากความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนความขัดแย้งระหว่างแผงค้าขายในบริเวณดังกล่าวก็ไม่น่าจะรุนแรงถึงขนาดลอบวางระเบิด ขณะนี้ชุดสืบสวนให้น้ำหนักไปที่การก่อความวุ่นวายเป็นหลัก โดยในส่วนของ บก.ป.มีการรื้อประวัติของกลุ่มผู้ก่อเหตุในอดีตมาตรวจสอบ เพราะเชื่อว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดป่วนเมืองครั้งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น