พ่อเผยอาการ “น้องเอย” ยังทรงตัว คาดผ่าตัดสมองคงเป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะตัดสินใจทำ พร้อมสร้างแฟนเพจ “น้องเอย” ให้กำลังใจผ่านเฟซบุ๊ก ชี้ครู-คนขับรถให้การขัดแย้งกัน เตือนเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์
จากกรณีเด็กหญิงมนัสนันท์ ทองภู่ หรือ น้องเอย อายุ 3 ขวบ นักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล1 โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ถูกครูลืมทิ้งไว้ในรถตู้ของโรงเรียนทั้งวันจนร่างกายขาดออกซิเจน จนเกิดสมองบวมอาการสาหัสต้องเข้ารักษาตัวที่ห้องไอ.ซี.ยู.โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ นายเอกชัย ทองภู่ อายุ 35 ปี บิดาของน้องเอย ซึ่งคอยเฝ้ารอดูอาการของลูกสาวอย่างใกล้ชิด เปิดเผยว่า ขณะนี้อาการของน้องเอยยังคงทรงตัว และยังคงพักรักษาตัวอยู่ภายในห้องไอ.ซี.ยู.ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาเกล็ดเลือดของน้องเอยต่ำมาก แต่ว่าในช่วงเช้าวันนี้เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นแล้ว แต่อาการสมองบวมยังคงไม่ดีขึ้น ซึ่งแพทย์ได้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดแบบชั่วโมงต่อชั่วโมงอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากอาการยังไม่คงที่และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่วนจะมีการผ่าตัดสมองเมื่อใดนั้น ตนคงไม่สามารถตอบได้ ซึ่งตนคาดว่าการผ่าตัดสมองคงเป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะตัดสินใจทำ หากอาการของน้องเอยยังคงไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามตนได้สร้างแฟนเพจชื่อว่าน้องเอยในเฟซบุ๊กขึ้นด้วย หากใครจะเข้ามาให้กำลังใจก็สามารถทำได้ เพราะตนไม่อยากให้เข้าไปเยี่ยมในห้องไอซียูเนื่องจากเกรงว่าน้องเอยอาจจะติดเชื้อได้
นายเอกชัย กล่าวต่อว่า ส่วนด้านคดีความนั้นนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี ได้ให้การช่วยเหลือมาโดยตลอดในการติดตามความคืบหน้าของคดีและเร่งรัดเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด ส่วนทางครูและโรงเรียนของน้องเอยก็ได้แจ้งว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้ แต่ก็ยังไม่ได้พูดคุยตกลงกันในรายละเอียดแต่อย่างใด โดยในวันนี้นางปวีณาและคุณแม่ของน้องเอยได้ไปเร่งรัดติดตามคดีที่ สภ.บางปู จ.สมุทรปราการ พร้อมทั้งนัดพูดคุยกับทางครูและผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อตกลงกันในรายละเอียดว่าจะให้การช่วยเหลืออย่างไรบ้าง แต่ว่าทางฝ่ายคู่กรณีได้ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 8 เม.ย.นี้
ส่วนกรณีที่ทางครูบอกว่าเด็กลืมกระเป๋าไว้ในรถและกลับมาเอากระเป๋านั้น นายเอกชัย กล่าวว่า จากการสอบถามทั้งครูและคนขับรถต่างให้การขัดแย้งกัน เพราะว่าคนขับรถจะต้องรอดูเด็กลงจากรถตู้ให้หมดเสียก่อนถึงจะค่อยปิดประตู ซึ่งถ้าน้องเอยลืมกระเป๋าจริง เด็กอายุ 3 ขวบ ก็ไม่น่าที่จะเปิดประตูรถเองได้ตามลำพัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกอย่างคือกระเป๋าของน้องเอยเป็นกระเป๋าแบบสะพายข้างใบเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งน้องเอยมักจะห้อยติดตัวอยู่ตลอดเวลา และไม่น่าจะลืมไว้บนรถอย่างแน่นอน ส่วนที่คนขับรถบอกว่าพบน้องเอยมานั่งอยู่ตรงเบาะแถวที่ 2 นั้น หากเป็นตามนั้นจริงตอนที่จะปิดล็อครถยังไงก็จะต้องมองเห็น อีกอย่างเวลาเด็กหายไปทำไมถึงไม่มีการเช็กชื่อเด็กก่อน และทำไมไม่โทรศัพท์ไปสอบถามผู้ปกครอง ซึ่งเรื่องทั้งหมดนั้นตนเชื่อว่าทางครูและคนขับรถให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับความเป็นจริง อย่างไรก็ตามอย่างน้อยตนอยากให้ทางคู่กรณีหากมีอะไรก็อยากให้มาพูดกันตรงๆ มากกว่า ทั้งเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาและเรื่องข้อมูลของน้องเอย
“ขอฝากเตือนเป็นอุทาหรณ์ว่า ทางโรงเรียนไม่ใช่จะผลักดันเด็กเฉพาะเรื่องการศึกษาและกีฬาเท่านั้น แต่ควรจะดูแลใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยของเด็กนักเรียนด้วย รวมทั้งควรจะต้องประเมินประสิทธิภาพของครูและอาจารย์ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความประมาทอย่างกรณีนี้อีก ส่วนทางโรงเรียนก็ไม่ควรจะมองข้ามแต่ควรจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน อีกทั้งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย” พ่อของน้องเอย กล่าว