น้องชายควงประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมโร่เข้าให้ปากคำและร้อง ป.รื้อคดีโทรมหญิง หลังสำนึกผิดโยนพี่ชายเป็นแพะรับบาป
จากกรณีนายจารึก หนูแก้ว อายุ 56 ปี ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช บิดาของ นายสุดสาคร หรือจอม หนูแก้ว อายุ 29 ปี นักโทษที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกา ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะโทรมหญิง และร่วมกันพรากผู้เยาว์ เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.เพื่อขอรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ เนื่องจากผู้กระทำความผิดที่แท้จริงคือ นายจิรายุทธ หรือบอย หนูแก้ว อายุ 26 ปี น้องชายนายสุดสาคร
วันนี้ (5 เม.ย.) ที่กองปราบปราบ เมื่อเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจิรายุทธพร้อมด้วยนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.เพื่อให้ถ้อยคำในคดีดังกล่าว แต่เนื่องจากคดีที่เกิดขึ้นนั้นถือว่ากระบวนการพิจารณาในศาลนั้นสิ้นสุดแล้ว จึงต้องมีการร้องทุกข์และมีการสืบหาพยานหลักฐานใหม่ เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ต้องขังที่ต้องโทษในคดีนี้ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด
นายจิรายุทธ ผู้ต้องหาตัวจริงให้การว่า ในวันเกิดเหตุตนกับเพื่อน 4-5 คน ได้ร่วมกันกระทำความผิดจริง โดยลงมือข่มขืน น.ส.จุ๋ม (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ผู้เสียหาย แต่ภายหลังตำรวจ สภ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายสุดสาคร พี่ชายตนซึ่งไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด นอกจากนี้ยังให้ผู้เสียหายชี้ตัวก่อนเข้าให้ปากคำ กระทั่งคดีถูกพิจารณาในชั้นศาลโดยพี่ชายก็ต่อสู้คดีมาตลอด ช่วงที่เกิดเหตุนั้นตนมีอายุเพียง 17 ปี จึงไม่กล้าเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดี ส่วนบิดากับพี่สาวก็ปล่อยให้ทนายความดำเนินการทั้งหมด ทำให้พี่ชายต้องรับโทษจำคุก 26 ปี
“ก่อนหน้านี้ผมเคยเข้าเยี่ยมพี่ชายเพียงครั้งเดียว และรู้สึกผิดมาตลอดและอยากช่วยเหลือพี่ชาย เพราะเขาไม่ใช่คนทำผิด จึงตัดสินใจเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำในคดีดังกล่าว และขอให้ทางตำรวจได้พิจารณารื้อฟื้นคดีที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป” นายจิรายุทธกล่าว
ด้าน พ.ต.อ.เอนกกล่าวว่า ในส่วนของการพิจารณาของพนักงานสอบสวนนั้น เนื่องจากนายจิรายุทธมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีตัวจริง แต่ทางตำรวจก็ยังไม่สามารถจับกุมตัว และแจ้งข้อกล่าวหาได้ทันที เพราะคดีเดิมนั้นไม่มีการกล่าวหา นายจิรายุทธจึงต้องมีพยานหลักฐานชุดใหม่จึงจะสามารถแจ้งข้อหาและดำเนินคดีกับนายจิรายุทธได้ ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้คงดำเนินการตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ โดยสืบหาพยานหลักฐานในคดีใหม่ เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้ต้องโทษที่ศาลตัดสินไปแล้วนั้นไม่ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริง