พ่อควงประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และทนาย เข้าร้องทุกข์ที่ บก.ป. ขอรื้อฟื้นคดีหลังจากศาลสั่งจำคุกลูกชายผิดคน ในคดีรุมโทรมเหยื่อเด็กสาววัย 15 ปี
เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 4 เมษายน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายจารึก หนูแก้ว อายุ 56 ปี และ น.ส.สุจิรา หนูแก้ว อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 5 ต.คลองกระบือ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช บิดาและพี่สาวของ นายสุดสาคร หรือจอม หนูแก้ว อายุ 22 ปี นักโทษที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกา ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะโทรมหญิง, ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง เพื่อการอนาจาร และร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา เดินทางมาพร้อมด้วยนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ทนายความ เข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กก.5 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอให้มีการรื้อฟื้นคดีดังกล่าว
ทั้งนี้ สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก น.ส.จุ๋ม (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ว่าถูกนายสุดสาครกับพวกรวม 17 คน ร่วมกันล่วงละเมิดทางเพศในลักษณะรุมโทรม โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงมือข่มขืนกระทำชำเรา เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 5 ต.คลองกระบือ อ.ปากพนัง ศาลาวัด และห้องเช่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ปากพนัง ตั้งแต่วันที่ 17-20 กุมภาพันธ์ 2549 ต่อเนื่องกัน โดยทางผู้เสียหายให้การในชั้นสอบสวนว่าจดจำนายสุดสาครได้ เนื่องจากในช่วงที่เกิดเหตุนั้นอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
จากนั้นทางตำรวจ สภ.ปากพนัง สามารถสืบสวนติดตามจับกุมนายสุดสาครกับพวกรวม 4 คน โดยได้กันตัวไว้เป็นพยานในคดี 1 คน ส่วนที่เหลือถูกดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งมี 1 รายเป็นเยาวชนจึงถูกนำส่งศาลเยาวชนฯ ต่อมาเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาในศาลจังหวัดปากพนังแล้ว ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุก นายสุดสาคร และนายอาหมัด (ไม่ทราบนามสกุล) จำเลยในคดี รวม 26 ปี จากนั้นจึงมีการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ และฎีกา โดยศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
นายจารึกกล่าวว่า ตนมีลูกทั้งหมด 6 คน โดยนายสุดสาครเป็นลูกคนที่ 5 ส่วนคดีที่เกิดขึ้นนั้นผู้กระทำความผิดที่แท้จริงคือ นายจิรายุ หรือบอย หนูแก้ว อายุ 17 ปี ลูกคนสุดท้อง ไม่ใช่นายสุดสาคร ที่ต้องรับโทษแทนน้องชายเขาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมดเพราะตนไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย ก็ไม่ทราบขั้นตอนในระหว่างการสอบสวนดำเนินคดี ก่อนที่ลูกชายจะถูกนำตัวส่งฟ้องศาล และได้ต่อสู้คดีจนถึงชั้นฎีกา ซึ่งเมื่อปี 2554 ศาลฎีกาจึงพิพากษาจำคุกนายสุดสาคร
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายจำชื่อเล่นของลูกชายทั้งสองสลับกัน และตำรวจก็ไปจับตัวนายสุดสาครมาดำเนินคดี แม้ว่าจะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างไร แต่กลับมีการชี้ตัวยืนยันและแจ้งข้อหาจนลูกผมต้องติดคุกทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด” นายจารึกกล่าว และได้ประสานขอให้ทางชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าร้องเรียนต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาทนายความในกรณีที่เกิดขึ้นนี้แล้ว
ขณะที่ พ.ต.อ.เอนกกล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้พิจารณาตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ เนื่องจากคดีนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้วในกระบวนการพิจารณาของศาล จึงต้องมีการสืบหาพยานหลักฐานใหม่ เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยในคดีนี้ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริง ทั้งนี้ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป