ศาลอาญาไต่สวนพยานหาสาเหตุพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงตายบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ช่วงเสื้อแดงชุมนุมปี 53
วันนี้ (19 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์คดีหมายเลขดำ อช.4/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นคำร้องให้ไต่สวนชันสูตรการตาย ของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เพื่อให้ศาลทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จากเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ (ดอนเมือง) เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 โดยช่วงเช้าวันนี้พนักงานอัยการได้นำพยานเข้าเบิกความรวม 4 ปาก ปากแรก คือ ร.อ. ธนะรัชต์ มณีวงศ์ ผบ.กองร้อย กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เบิกความต่อศาลว่า ตนพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่คอยเสริมกำลังในการปฏิบัติหน้าที่โดยอยู่ในที่ตั้งภายในกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ย่านแจ้งวัฒนะ โดยเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 ในเวลา 13.30 น.ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่บริเวณแยกหลักสี่ ฝั่งขาออก และสลับกำลังไปตั้งด่านบริเวณฝั่งขาเข้า เพื่อตรวจตรารถยนต์ที่จะผ่านเข้ามาในพื้นที่ กทม.ต่อมาเวลา 15.00 น. ได้รับคำสั่งจาก ผบ.กองพันทหารราบที่ 2 ให้นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว 100 นาย ประมาณ 50 คัน จักรยานยนต์ไปเสริมยังด่านสกัดที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ที่ถูกกลุ่มเสื้อแดงปิดล้อมอยู่
ร.อ.ธนะรัชต์กล่าวต่อว่า ตนและกำลังทหารชุดเคลื่อนที่เร็วจะใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ และแต่งชุดลายพราง ใส่หมวกทหารกันกระสุน หรือหมวกเคฟลา ทำจากเส้นใยสังเคราะห์คุณสมบัติเหมือนหมวกเหล็ก ทั้งทหารที่ขี่จักรยานยนต์และทหารที่ซ้อนท้าย มีริบบิ้นสีขาวติดที่ไหล่ด้านซ้าย ผูกผ้าพันคอสีฟ้า ส่วนอาวุธปืนนั้นทหารสัญญาบัตรและชั้นประทวนใช้อาวุธปืนเล็กยาว ทาโวร์ และกระสุนจริง ทหารชั้นประทวนบางนายใช้อาวุธปืนลูกซองยาวไปด้วย ส่วนพลทหารจะใช้ปืนลูกซองยาวและกระสุนยาง
สำหรับกฎของการใช้อาวุธในการปฏิบัติหน้าที่นั้นจะใช้อาวุธจริง ต่อเมื่อมีเหตุร้ายและเพื่อป้องกันอันตรายกับชีวิต โดยไม่ทำอันตรายแก่ชีวิตบุคคลอื่น และภายหลังได้รับคำสั่งให้ไปเสริมกำลังที่บริเวณอนุสรณ์สถาน ตนได้ขี่จักรยานยนต์ไปตามถนนวิภาวดี-รังสิต ฝั่งขาออก ใช้ช่องทางเดินรถช่องกลาง ไปเป็นคันแรก มี ส.อ.อนุภัทร์ ขอมปรางค์ เป็นคนขี่และตนนั่งซ้อนท้าย นอกจากนี้ยังมีจักรยานยนต์ขี่ตามกันมาเป็นชุดแรก อีกประมาณ 7-8 คัน โดยมีจักรยานยนต์ที่พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละนั่งซ้อนท้ายตามมาด้วย โดยมีพลทหารพงษ์ ระวี ชนะภัย จะทำหน้าที่พลขับ
ขณะนั้นสภาพอากาศเริ่มมืดครึ้ม ฝนเริ่มตกและถนนลื่น สามารถมองเห็นได้ในระยะ 100-200 เมตร ระหว่างทางฝนตกหนัก แต่เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุฝนเริ่มซาลง โดยจักรยานยนต์ทุกคันจะเปิดไฟหน้าทุกคัน
ร.อ.ธนะรัชต์กล่าวอีกว่า เมื่อตนและผู้ใต้บังคับบัญชาชุดเคลื่อนที่เร็วขี่จักรยานยนต์ผ่านบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองมาแล้ว สังเกตทางด้านซ้ายบริเวณถนนคู่ขนาน เห็นกลุ่ม นปช.รวมตัวกันอยู่หลายร้อยคน ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อสีแดง ถือธงปลายแหลม ด้ามทำด้วยสเตนเลส กรูกันเข้ามาจะจับตัว เนื่องจากผู้ชุมนุม นปช.ได้กระโดดข้ามคอนกรีตกั้นถนนเข้ามาและตะโกนว่ามีทหารเข้ามา ซึ่งตนสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ขี่จักรยานยนต์ออกจากบริเวณนั้นและขี่มุ่งไปข้างหน้า โดยมาทราบภายหลังว่ากำลังพลผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขี่จักรยานยนต์ตามมาถูกฉุดกระชากและตีด้วยไม้ บางรายถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก บาดเจ็บเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินของราชการหายไปด้วย คือ เสื้อเกราะกันกระสุน หมวกทหาร กระบองปราบจลาจล แว่นตา และลูกปืนลูกซอง
ทั้งนี้ เมื่อขี่จักรยานยนต์เข้าใกล้ด่านสกัดที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ห่างประมาณ 50 เมตร ขณะนั้นเห็นรถยนต์ 2-3 คันจอดอยู่ และรถบรรทุก 6 ล้อกำลังเคลื่อนที่อยู่บนถนน ห่างด่านสกัดดังกล่าวประมาณ 100 เมตร และเห็นทางด้านข้างริมถนนคู่ขนานฝั่งขาออกมีประชาชนอยู่ประปราย แต่ไม่ได้สังเกตว่าใต้ทางขึ้นโทลล์เวย์ในช่องคู่ขนานจะมีใครอยู่หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 4-5 นัด แต่ไม่ทราบว่ากระสุนมาจากทิศทางใด เนื่องจากอยู่ใต้ทางด่วนโทลล์เวย์ เสียงจะก้อง จากนั้นพอได้ยินเสียงปืน พลขับของตนจึงหักรถล้มลงเพื่อหาที่กำบัง เช่นเดียวกับจักรยานยนต์คันอื่นอีก 7-8 คัน
เมื่อเสียงปืนสงบได้ตรวจสอบพบว่า พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส สภาพนอนแน่นิ่งกับพื้น ศีรษะหันไปทางแท่นคอนกรีต ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารจึงพาตัวออกไปยังอนุสรณ์สถาน เพื่อรอส่งโรงพยาบาล จากนั้นจึงไปเข้าไปเสริมกำลังอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ประจำด่านสกัดผู้ชุมนุม นปช. ทั้งนี้ไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิงพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ และไม่ทราบว่าขณะนั้นมีทหารหรือตำรวจยืนอยู่นอกแนวป้องกันหรือไม่ โดยภายหลังวันเกิดเหตุได้ให้กับปากคำต่อพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง และภายหลังได้ให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนอีกหลายครั้ง พร้อมกับนำภาพจากเว็บไซต์อัลจาซีราห์ ที่ปรากฏภาพชายชุดดำถืออาวุธปืนกับชายเสื้อแดงอีก 2 คนอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเวลาเดียวกันหรือไม่ จึงมอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา ส.อ.อนุภัทร์ ขอมปรางค์ อายุ 29 ปี ทหารกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ได้เบิกความเป็นปากที่ 2 ว่า ได้รับคำสั่งจาก ร.อ.ธนะรัชต์ มณีวงศ์ ผบ.กองร้อยฯ ให้เข้าพื้นที่บริเวณอนุสรณ์สถาน โดยเป็นชุดเคลื่อนที่เร็ว ทำหน้าที่เป็นพลขับจักรยานยนต์ให้กับ ร.อ.ธนะรัชต์ โดยจะเป็นคันแรก และเดินทางร่วมกับทหารอีกประมาณ 100 นาย โดยใช้จักรยานยนต์ประมาณ 50 คัน การแต่งกายใส่ชุดลายพราง ริบบิ้นสีขาวติดที่ไหล่เป็นสัญลักษณ์ พกอาวุธประจำกายเป็นปืนเล็กยาว ยี่ห้อทาโวร์ กระสุนซ้อม พร้อมทั้งโล่และกระบอง เมื่อไปถึงบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณด้านข้างถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก ช่วงสนามบินดอนเมือง ก่อนถึงอนุสรณ์สถานจะขี่จักรยานยนต์แถวตอนเรียงหนึ่ง ใช้ความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขณะนั้นสภาพอากาศฝนตกหนักมาก มองเห็นได้ระยะไม่เกิน 30 เมตร เมื่อผู้ชุมนุม นปช.เห็นก็ได้ยิงลูกหินและลูกแก้วเข้าใส่ ทหารบางนายถูกกระชากเอาหมวก เสื้อเกราะกันกระสุน และกระสุนยางไป ระหว่างทางที่ขับขี่ก็เห็นรถยนต์ จักรยานยนต์จอดอยู่ และไม่เห็นว่ามีใครอยู่ด้านในรถ จากนั้นจึงขับไปเรื่อยๆ กระทั่งอีกประมาณ 100 เมตรก็จะถึงแนวกั้นของตำรวจ ได้ยินเสียงปืนดัง 4-5 นัด แต่ไม่ทราบว่ากระสุนจากปืนชนิดใด จึงตัดสินใจล้มจักรยานยนต์ลงเพื่อหาที่กำลัง ก่อนที่ร.อ.ธนรัชต์จะตรวจสอบว่ามีใครบาดเจ็บหรือไม่ ก็พบว่าพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ซึ่งขี่รถจักรยานยนต์ตามมาด้านหลังถูกยิงได้บาดเจ็บ แล้วมีทหารมาช่วยนำส่งโรงพยาบาล และไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิง ภายหลังอัยการนำทหารเบิกความอีก 2 นาย ซึ่งเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วเสร็จแล้ว จึงนัดไต่สวนอีกครั้ง ในวันที่ 20 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
วันนี้ (19 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์คดีหมายเลขดำ อช.4/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นคำร้องให้ไต่สวนชันสูตรการตาย ของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เพื่อให้ศาลทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์การตาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 จากเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ (ดอนเมือง) เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 โดยช่วงเช้าวันนี้พนักงานอัยการได้นำพยานเข้าเบิกความรวม 4 ปาก ปากแรก คือ ร.อ. ธนะรัชต์ มณีวงศ์ ผบ.กองร้อย กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี เบิกความต่อศาลว่า ตนพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่คอยเสริมกำลังในการปฏิบัติหน้าที่โดยอยู่ในที่ตั้งภายในกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ย่านแจ้งวัฒนะ โดยเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2553 ในเวลา 13.30 น.ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่บริเวณแยกหลักสี่ ฝั่งขาออก และสลับกำลังไปตั้งด่านบริเวณฝั่งขาเข้า เพื่อตรวจตรารถยนต์ที่จะผ่านเข้ามาในพื้นที่ กทม.ต่อมาเวลา 15.00 น. ได้รับคำสั่งจาก ผบ.กองพันทหารราบที่ 2 ให้นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว 100 นาย ประมาณ 50 คัน จักรยานยนต์ไปเสริมยังด่านสกัดที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ที่ถูกกลุ่มเสื้อแดงปิดล้อมอยู่
ร.อ.ธนะรัชต์กล่าวต่อว่า ตนและกำลังทหารชุดเคลื่อนที่เร็วจะใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ และแต่งชุดลายพราง ใส่หมวกทหารกันกระสุน หรือหมวกเคฟลา ทำจากเส้นใยสังเคราะห์คุณสมบัติเหมือนหมวกเหล็ก ทั้งทหารที่ขี่จักรยานยนต์และทหารที่ซ้อนท้าย มีริบบิ้นสีขาวติดที่ไหล่ด้านซ้าย ผูกผ้าพันคอสีฟ้า ส่วนอาวุธปืนนั้นทหารสัญญาบัตรและชั้นประทวนใช้อาวุธปืนเล็กยาว ทาโวร์ และกระสุนจริง ทหารชั้นประทวนบางนายใช้อาวุธปืนลูกซองยาวไปด้วย ส่วนพลทหารจะใช้ปืนลูกซองยาวและกระสุนยาง
สำหรับกฎของการใช้อาวุธในการปฏิบัติหน้าที่นั้นจะใช้อาวุธจริง ต่อเมื่อมีเหตุร้ายและเพื่อป้องกันอันตรายกับชีวิต โดยไม่ทำอันตรายแก่ชีวิตบุคคลอื่น และภายหลังได้รับคำสั่งให้ไปเสริมกำลังที่บริเวณอนุสรณ์สถาน ตนได้ขี่จักรยานยนต์ไปตามถนนวิภาวดี-รังสิต ฝั่งขาออก ใช้ช่องทางเดินรถช่องกลาง ไปเป็นคันแรก มี ส.อ.อนุภัทร์ ขอมปรางค์ เป็นคนขี่และตนนั่งซ้อนท้าย นอกจากนี้ยังมีจักรยานยนต์ขี่ตามกันมาเป็นชุดแรก อีกประมาณ 7-8 คัน โดยมีจักรยานยนต์ที่พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละนั่งซ้อนท้ายตามมาด้วย โดยมีพลทหารพงษ์ ระวี ชนะภัย จะทำหน้าที่พลขับ
ขณะนั้นสภาพอากาศเริ่มมืดครึ้ม ฝนเริ่มตกและถนนลื่น สามารถมองเห็นได้ในระยะ 100-200 เมตร ระหว่างทางฝนตกหนัก แต่เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุฝนเริ่มซาลง โดยจักรยานยนต์ทุกคันจะเปิดไฟหน้าทุกคัน
ร.อ.ธนะรัชต์กล่าวอีกว่า เมื่อตนและผู้ใต้บังคับบัญชาชุดเคลื่อนที่เร็วขี่จักรยานยนต์ผ่านบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองมาแล้ว สังเกตทางด้านซ้ายบริเวณถนนคู่ขนาน เห็นกลุ่ม นปช.รวมตัวกันอยู่หลายร้อยคน ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อสีแดง ถือธงปลายแหลม ด้ามทำด้วยสเตนเลส กรูกันเข้ามาจะจับตัว เนื่องจากผู้ชุมนุม นปช.ได้กระโดดข้ามคอนกรีตกั้นถนนเข้ามาและตะโกนว่ามีทหารเข้ามา ซึ่งตนสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ขี่จักรยานยนต์ออกจากบริเวณนั้นและขี่มุ่งไปข้างหน้า โดยมาทราบภายหลังว่ากำลังพลผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขี่จักรยานยนต์ตามมาถูกฉุดกระชากและตีด้วยไม้ บางรายถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก บาดเจ็บเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินของราชการหายไปด้วย คือ เสื้อเกราะกันกระสุน หมวกทหาร กระบองปราบจลาจล แว่นตา และลูกปืนลูกซอง
ทั้งนี้ เมื่อขี่จักรยานยนต์เข้าใกล้ด่านสกัดที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ห่างประมาณ 50 เมตร ขณะนั้นเห็นรถยนต์ 2-3 คันจอดอยู่ และรถบรรทุก 6 ล้อกำลังเคลื่อนที่อยู่บนถนน ห่างด่านสกัดดังกล่าวประมาณ 100 เมตร และเห็นทางด้านข้างริมถนนคู่ขนานฝั่งขาออกมีประชาชนอยู่ประปราย แต่ไม่ได้สังเกตว่าใต้ทางขึ้นโทลล์เวย์ในช่องคู่ขนานจะมีใครอยู่หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 4-5 นัด แต่ไม่ทราบว่ากระสุนมาจากทิศทางใด เนื่องจากอยู่ใต้ทางด่วนโทลล์เวย์ เสียงจะก้อง จากนั้นพอได้ยินเสียงปืน พลขับของตนจึงหักรถล้มลงเพื่อหาที่กำบัง เช่นเดียวกับจักรยานยนต์คันอื่นอีก 7-8 คัน
เมื่อเสียงปืนสงบได้ตรวจสอบพบว่า พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส สภาพนอนแน่นิ่งกับพื้น ศีรษะหันไปทางแท่นคอนกรีต ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารจึงพาตัวออกไปยังอนุสรณ์สถาน เพื่อรอส่งโรงพยาบาล จากนั้นจึงไปเข้าไปเสริมกำลังอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ประจำด่านสกัดผู้ชุมนุม นปช. ทั้งนี้ไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิงพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ และไม่ทราบว่าขณะนั้นมีทหารหรือตำรวจยืนอยู่นอกแนวป้องกันหรือไม่ โดยภายหลังวันเกิดเหตุได้ให้กับปากคำต่อพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง และภายหลังได้ให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนอีกหลายครั้ง พร้อมกับนำภาพจากเว็บไซต์อัลจาซีราห์ ที่ปรากฏภาพชายชุดดำถืออาวุธปืนกับชายเสื้อแดงอีก 2 คนอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเวลาเดียวกันหรือไม่ จึงมอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา ส.อ.อนุภัทร์ ขอมปรางค์ อายุ 29 ปี ทหารกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ได้เบิกความเป็นปากที่ 2 ว่า ได้รับคำสั่งจาก ร.อ.ธนะรัชต์ มณีวงศ์ ผบ.กองร้อยฯ ให้เข้าพื้นที่บริเวณอนุสรณ์สถาน โดยเป็นชุดเคลื่อนที่เร็ว ทำหน้าที่เป็นพลขับจักรยานยนต์ให้กับ ร.อ.ธนะรัชต์ โดยจะเป็นคันแรก และเดินทางร่วมกับทหารอีกประมาณ 100 นาย โดยใช้จักรยานยนต์ประมาณ 50 คัน การแต่งกายใส่ชุดลายพราง ริบบิ้นสีขาวติดที่ไหล่เป็นสัญลักษณ์ พกอาวุธประจำกายเป็นปืนเล็กยาว ยี่ห้อทาโวร์ กระสุนซ้อม พร้อมทั้งโล่และกระบอง เมื่อไปถึงบริเวณที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณด้านข้างถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก ช่วงสนามบินดอนเมือง ก่อนถึงอนุสรณ์สถานจะขี่จักรยานยนต์แถวตอนเรียงหนึ่ง ใช้ความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขณะนั้นสภาพอากาศฝนตกหนักมาก มองเห็นได้ระยะไม่เกิน 30 เมตร เมื่อผู้ชุมนุม นปช.เห็นก็ได้ยิงลูกหินและลูกแก้วเข้าใส่ ทหารบางนายถูกกระชากเอาหมวก เสื้อเกราะกันกระสุน และกระสุนยางไป ระหว่างทางที่ขับขี่ก็เห็นรถยนต์ จักรยานยนต์จอดอยู่ และไม่เห็นว่ามีใครอยู่ด้านในรถ จากนั้นจึงขับไปเรื่อยๆ กระทั่งอีกประมาณ 100 เมตรก็จะถึงแนวกั้นของตำรวจ ได้ยินเสียงปืนดัง 4-5 นัด แต่ไม่ทราบว่ากระสุนจากปืนชนิดใด จึงตัดสินใจล้มจักรยานยนต์ลงเพื่อหาที่กำลัง ก่อนที่ร.อ.ธนรัชต์จะตรวจสอบว่ามีใครบาดเจ็บหรือไม่ ก็พบว่าพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ซึ่งขี่รถจักรยานยนต์ตามมาด้านหลังถูกยิงได้บาดเจ็บ แล้วมีทหารมาช่วยนำส่งโรงพยาบาล และไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิง ภายหลังอัยการนำทหารเบิกความอีก 2 นาย ซึ่งเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วเสร็จแล้ว จึงนัดไต่สวนอีกครั้ง ในวันที่ 20 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น.