อธิบดีศาลอาญา ระบุรอ “ศาล รธน.” ส่งคำวินิจฉัยมาให้ กรณีมีมติว่าพยานหลักฐานที่ส่งประเด็นไปสืบต่างประเทศขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่อาจรับฟังได้ตามกฎหมาย เพราะคู่กรณีไม่มีโอกาสตรวจสอบหรือต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ด้าน “อัยการ” เซ็ง ลั่นทำตาม กม.เพื่อให้ได้พยานหลักฐานมากที่สุด
วันนี้ (13 มี.ค.) ความคืบหน้า กรณี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ จำเลยคดีอุ้มฆ่านายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจซาอุดีอาระเบีย ได้ขอให้ศาลอาญาส่งคำโต้แย้งของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การส่งประเด็นไปสืบพยานปาก “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ซึ่งล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ว่า พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 มาตรา 41 ที่บัญญัติว่า พยานหลักฐานที่ได้มาตาม พ.ร.บ.นี้เป็นพยานหลักฐานเอกสารที่รับฟังได้ตามกฏหมายนั้น ขัดต่อหลักนิติธรรมและถือว่าเป็นบทบัญญัติที่จำกัดต่อสิทธิของจำเลยในคดีอาญา เพราะเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบหรือรับทราบ และไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้อย่างเพียงพอหรือเป็นธรรมตลอดจนไม่มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทางทนายความ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3, วรรค 2, มาตรา 29 และ มาตรา 10 (2) (3) (4) (7)
นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังระบุอะไรชัดเจนไม่ได้ เรื่องนี้คงต้องดูคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญส่งมายังศาลอาญาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และจะนำเรื่องนี้เข้าประชุมกับองค์คณะและผู้บริหารศาลอาญาว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากคดีนี้ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้มีการส่งประเด็นไปสืบในต่างประเทศแล้ว คาดว่าขั้นตอนการส่งคำวินิจฉัยดังกล่าวมาให้ศาลอาญา คงใช้เวลาไม่เกิน 1-2 เดือน ซึ่งคงไม่กระทบเรื่องการสืบพยานในต่างประเทศและกระทบสิทธิของคู่ความ
นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับศาลอาญาว่าจะดำเนินการอย่างไร อัยการก็ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยพยายามจะแสวงหาข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีการเปิดโอกาสให้จำเลยถามค้านแล้ว แต่จำเลยก็ไม่กระทำ และเห็นว่า พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศนั้นเกือบทุกประเทศทั่วโลกให้การยอมรับหมด แต่ประเทศไทยไม่ยอมรับ ตนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร และพยานปากนี้ถือเป็นปากสุดท้ายแล้ว หากไม่สามารถนำตัวมาสืบได้ต่อไปจะเป็นขั้นตอนการสืบพยานของจำเลยต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.สมคิด กล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจว่า ตนยังไม่ทราบในเรื่องนี้ ถือว่าให้เป็นดุลพินิจของศาลอาญาว่าจะมีคำสั่งใดต่อไป ตนไม่กล้าก้าวล่วง และหากเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะไม่สามารถนำพยานโจทก์ปากนี้มาสืบได้ ก็จะเป็นขั้นตอนการสืบพยานฝ่ายจำเลยต่อ ซึ่งตนได้เบิกความเป็นพยานปากแรกไว้แล้ว จากนั้นก็จะได้สืบพยานที่เตรียมไว้จำนวน 10 กว่าปาก และอาจจะมีการเพิ่มพยาน เกี่ยวกับประเด็นที่ว่าการพา “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” พยานโจทก์ไปสืบที่ต่างประเทศ นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
น.ส.รัศมี ไวยเนตร ทนายความ พล.ต.ท.สมคิด กล่าวว่า พยานปากนี้เป็นพยานที่สืบลับหลังจำเลยซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ รวมทั้งขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ซึ่งระบุไว้ว่าการพิจารณาคดีและสืบพยานจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลย เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น พยานปาก “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานตามกฎหมายได้ และในวันที่ 20 พ.ค.นี้ ศาลอาญาได้นัดพร้อมคู่ความเพื่อสอบถามความคืบหน้าการส่งประเด็นไปสืบต่างประเทศ