ปัญหาเด็กช่างกลต่างสถาบันยกพวกไล่ฆ่ากันเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน หลายครั้งมีผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องมารับเคราะห์กรรมบาดเจ็บล้มตายไปหลายราย อย่างรายล่าสุดเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มวัย 16 ปีคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาท แต่ก็ต้องมาหมดอนาคตถูกฟันจนนิ้วมือขาด กลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต
ย้อนไปเมื่อเย็นวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา หลังเลิกเรียน นายจักรชัย นุริตานนท์ หรือน้องแบงก์ วัย 16 ปี นักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวัฒนาบริหารธุรกิจ ก็เดินทางกลับบ้านพักภายในหมู่บ้านแพรกษาเมืองใหม่ตามปกติ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนชุดแล้วขี่จักรยานยนต์ชวนเพื่อนไปซื้อของที่ตลาดปากน้ำ แต่ปรากฏว่าเงินมีไม่พอ จึงขี่รถเพื่อกลับบ้านไปเอาเงินเพิ่ม เมื่อมาถึงปากซอยสำนักงานประปาสมุทรปราการ ถนนสุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เจอเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีสมุทรปราการ หรือโรงเรียนชำนิเทคโนโลยี จำนวน 10 คน นายจักรชัยจึงหยุดรถแวะเข้าไปทักทายเพื่อนเก่า
ระหว่างนั้นก็มีนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพกว่าครึ่งร้อยวิ่งกรูจากรถเมล์สาย 25 ลงมาทำร้ายกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีสมุทรปราการที่มีจำนวนน้อยกว่า จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งครั้ง ฝ่ายที่มีมากกว่าไล่ฟันไล่ตีจนฝ่ายนักศึกษาที่มีน้อยกว่ากระเจิงไปคนละทิศละทาง
นายจักรชัยเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไปหลบข้างกำแพงบ้านใกล้ที่เกิดเหตุ ผ่านไปสักพักเจ้าตัวคิดว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงออกมาจากที่ซ่อนเพื่อขี่จักรยานยนต์กลับบ้าน แต่ปรากฏว่ายังมีนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพอีก 20 คน ซุ่มรออยู่ วิ่งมารุมทำร้ายประเคนใส่ทั้งไม้ทั้งมีด จนนายจักรชัยล้มลงไปกองกับพื้นระหว่างที่กำลังโดนฟันนั้น นายจักรชัยพยายามยกมือป้องกันเพื่อไม่ให้มีดโดนศีรษะ แต่กลุ่มนักเรียนนักเลงกลุ่มนั้นยังไม่หนำใจกระหน่ำฟันอีกหลายครั้งจนนายจักรชัย ล้มฟุบจมกองเลือด นักศึกษากลุ่มนั้นจึงแยกย้ายหลบหนีไป
จากนั้นเพื่อนๆ และพลเมืองดีได้นำร่างโชกเลือดของนายจักรชัยส่งโรงพยาบาลเมืองสมุทรปู่เจ้า ปรากฏว่านิ้วขาดไปหกนิ้ว แพทย์ต่อนิ้วมาได้เพียง 4 นิ้ว นอกจากนี้แขนข้างซ้ายถูกฟันจนเส้นเอ็นขาด เย็บรวมกันกว่า 200 เข็ม ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต
เวลาผ่านไปเกือบ 1 เดือนปรากฏว่าคดียังไม่มีความคืบหน้า ทางญาติของนายจักรชัยจึงนำภาพถ่ายและบอกเล่าเรื่องราวของน้องแบงก์ทางอินเทอร์เน็ตและเฟซบุ๊ก จนกลายเป็นข่าวครึกโครมตามสื่อมวลชน ต่อมาได้มีเพื่อนๆ ที่เรียนสถาบันเดียวกันรวมถึงอาจารย์ที่ทราบข่าวได้มาให้กำลังใจน้องแบงก์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีทีมแพทย์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เดินทางมาเยี่ยมดูอาการ พร้อมทั้งนำกระเช้าพระราชทานมามอบให้กำลังใจแก่น้องแบงก์ สร้างความปลื้มปีติแก่ครอบครัวน้องแบงก์เป็นอย่างมาก
ส่วนทางด้านคดีนั้น น้องแบงก์กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมผู้ที่ก่อเหตุครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว เพราะไม่อยากให้คนที่ทำกับผมไปทำกับคนอื่นอีก นอกจากนี้อยากจะได้มือเทียมเพื่อจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้บ้าง”
ด้านนางธันยา นุริตานนท์ อายุ 39 ปี มารดาของน้องแบงก์กล่าวว่า ตนเองทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย 145 ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว เนื่องจากสามีแยกทางกันมานานหลายปีแล้ว ซึ่งหลังเกิดเหตุคดีไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด แต่ตนเองและญาติได้ดูแลและให้กำลังใจน้องแบงก์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากเกรงว่าลูกชายจะคิดมากเนื่องยังทำใจไม่ได้ที่ตัวเองต้องมากลายเป็นคนพิการตั้งแต่เยาว์วัย
เมื่อกลายเป็นข่าวครึกโครมตามสื่อต่างๆ ทาง พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) ก็นั่งไม่ติด จึงรีบได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผกก.สส.ภ.จ.สมุทรปราการ พ.ต.อ.พัลลภ แอร่มหล้า ผกก.สภ.เมืองสมุทรปราการ พ.ต.ท.ศุภกร ธัญญกรรม สว.สส.สภ.เมืองสมุทรปราการ พ.ต.ต.นพดล ช่างเรือน สว.สส.สภ.เมืองสมุทรปราการ เร่งรัดสืบสวนหาตัวกลุ่มนักเรียนที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้เนื่องจากเป็นคดีสะเทือนขวัญประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นฝ่ายสืบสวนได้นำแฟ้มทะเบียนประวัติของนักศึกษากลุ่มเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดทำบัญชีไว้ ก่อนนำตัวผู้ต้องสงสัยซึ่งเรียนอยู่วิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพ 1 คนมาสอบสวน จากนั้นก็ให้น้องแบงก์ทำการชี้ตัว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ จึงมาไล่เรียงกันใหม่ โดยได้นำตัวนายอรรถพล หรือคอส แช่มเชื้อ อายุ 18 ปีมาสอบเครียด แต่เจ้าตัวก็ยังคงปากแข็ง จึงนำภาพไปให้น้องแบงก์ชี้ตัว ซึ่งน้องแบงก์ยืนยันว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมรุมทำร้ายตัวเอง เจ้าหน้าที่จึงสอบสวนเครียดอีกครั้งกระทั่งเจ้าตัวรับสารภาพหมดเปลือก พร้อมทั้งซัดทอดไปถึงเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายศาลจับกุมในข้อหา “ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร” ก่อนนำกำลังจับกุม นายอดิศักดิ์ หรือโก้ ทิมหาญวิชัยขัทคะ อายุ 18 ปี และนายเอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ทั้งหมดเป็นนักเรียนวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพ ได้ที่บ้านพักในพื้นที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ พร้อมของกลางอาวุธมีดอีโต้ยาว 60 ซม.จำนวน 2 เล่ม และเสื้อชอปที่ใช้ในวันเกิดเหตุอีก 3 ตัว
พล.ต.ท.นเรศกล่าวว่า มูลเหตุของเรื่องดังกล่าวเกิดจากนักเรียนสถาบันวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีสมุทรปราการ ส่วนผู้บาดเจ็บไม่ได้เรียนอยู่ทั้ง 2 สถาบัน แต่อยู่ในที่เกิดเหตุเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวกระทั่งทราบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คนอยู่ร่วมในกลุ่มที่ก่อเหตุ และใช้อาวุธมีดฟันนายจักรชัยได้รับบาดเจ็บจนนิ้วมือขาด จึงได้เข้าทำการจับกุมและนำมาสอบสวน นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาที่เหลืออีก 14 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ตัวหมดแล้วจะได้ออกหมายจับต่อไป
“ผมขอยืนยันว่าตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งหลังเกิดเหตุได้เร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับคนร้ายที่ก่อ เหตุจากศาล กระทั่งศาลออกหมายจับและตามจับกุมได้ดังกล่าว” พล.ต.ท.นเรศกล่าว
จากการสอบสวนกลุ่มผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้บาดเจ็บจริง เพราะคิดว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนคู่อริ โดยก่อนเหตุกลุ่มตนพร้อมพวกที่กำลังหลบหนีได้นั่งโดยสารรถประจำทางสาย 25 กลับบ้านพัก ระหว่างมาถึงที่เกิดเหตุได้ถูกนักเรียนโรงเรียนวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพปาระเบิดใส่ก่อนจึงได้วิ่งลงจากรถ ก่อนใช้อาวุธมีดไล่ฟันผู้บาดเจ็บเพราะคิดว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนคู่อริแล้วแยกย้ายกันหลบหนีไปจนมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว
“พวกผมอยากขอโทษผู้เสียหายด้วย เนื่องจากที่ทำลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และอยากฝากถึงกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุขอให้เข้ามามอบตัว เพราะเจ้าหน้าที่มีข้อมูลของทุกคนที่ร่วมก่อเหตุแล้ว” หนึ่งในผู้ก่อเหตุกล่าว
ด้านน้องแบงก์ที่เข้าร่วมฟังการแถลงข่าวกล่าวว่า ไม่ติดใจเอาความเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องของอารมณ์ชั่ววูบ พร้อมให้อภัย และอยากให้กลุ่มผู้ก่อเหตุที่ยังหลบหนีอยู่เข้ามามอบตัวต่อตำรวจ และอยากฝากเตือนว่าหากจะทำอะไรอยากให้คิดให้ดีก่อน
ต่อมาผู้ปกครองนักเรียนที่มีรายชื่อร่วมก่อเหตุ 13 ราย อายุระหว่าง 15-18 ปี นำบุตรหลานเข้ามอบตัวต่อ พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ร่วมทำร้ายร่างกายผู้บาดเจ็บ แต่ยอมรับว่าร่วมอยู่ในกลุ่มของผู้ก่อเหตุด้วยจริง
พล.ต.ท.นเรศยังกล่าวถึงมาตรการแก้ปัญหานักเรียนอาชีวะยกพวกตีกันว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายส่วน จนได้ข้อสรุปว่าในคดีดังกล่าวถือเป็นกรณีศึกษา จึงมอบหมาย ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลนักเรียนอาชีวะทั้ง 13 คนที่เข้ามอบตัวในครั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ภายใต้โครงการ “ฝากลูกไว้กับตำรวจ” ทั้งนี้ผู้ที่ก่อเหตุทั้งหมดมี 19 ราย ยังเหลืออีก 3 ราย ซึ่งตอนนี้ได้ติดต่อเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว
ถึงแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะตามจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่ร่วมก่อเหตุรุมฟันน้องแบงก์มาดำเนินคดีได้เกือบครบทุกรายแล้ว แต่ใครจะกล้ายืนยันว่าเหตุการณ์นักเรียนนักเลงยกพวกไล่ฆ่ากันบนท้องถนนทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมาเสียชีวิต บาดเจ็บและพิกลพิการเกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม หวังว่ากรณีของน้องแบงก์น่าจะกระตุ้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาร่วมแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ไม่ใช่รอให้เรื่องเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยตามจับทีหลังเหมือนที่ผ่านๆ มา