รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.หลอกแม่ค้าขายเสื้อผ้า อ้างลูกชายไปค้ำประกันเงินให้เพื่อน 6 แสน เลยถูกอุ้มเรียกค่าไถ่ หลงเชื่อโอนให้ 2 แสน ส่วนอีก 4 แสน อายัดได้ทัน ขณะ ผบก.ป.ชี้ คนร้ายทำคล้ายกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวต่างชาติเหมือนเป็น “แฟรนไชส์คอลเซ็นเตอร์” หนึ่งในผู้ต้องหารับมีหน้าที่เพียงกดเงินได้ส่วนแบ่งนำไปซื้อยาเสพ ด้านตำรวจเร่งติดตามหัวหน้าแก๊งและพรรคพวกที่เหลือมาดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผบก.ป. พ.ต.อ.ณัฐกร ประภายนต์ ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ต.กริช วรทัต สว.กก.2 บก.ป.แถลงการจับกุม นายอาขวา แซ่ลี อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 437 หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายสุพจน์ พรหมบุตร อายุ 21 ปี นายพรเทพ วชิรโกมล อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาข้อหาร่วมกันฉ้อโกง กรรโชกทรัพย์ และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 20,000 บาท โดยจับกุมนายอาขวา ได้ที่บ้านเลขที่ 437 หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือจับกุมได้ใน จ.นนทบุรี
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นางยมภรณ์ จิตรบรรเทา อายุ 38 ปี แม่ค้าเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง อยู่บ้านเลขที่ 200/241 หมู่ 1 ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ว่า ถูกชายลึกลับโทรศัพท์มาอ้างว่า นายศุภกรณ์ ตั้งวงศ์เจริญ หรือ น้องแบงก์ อายุ 16 ปี บุตรชายซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ถูกจับเรียกค่าไถ่ เนื่องจากบุตรชายไปค้ำประกันเงินให้เพื่อน 6 แสนบาท ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคล้ายบุตรชายร้องขอความช่วยเหลือ และบอกว่า ถูกจับอยู่ในรถตู้ โดยคนร้ายบอกว่าต้องโอนเงินมาชดใช้ 6 แสนบาท หากไม่ทำตามจะตัดแขนและขาและฆ่าให้ตาย นอกจากนี้ ยังขู่ว่าห้ามปิดโทรศัพท์ และไม่ให้นำเรื่องไปบอกใคร
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ด้วยความตกใจ และเกรงว่า บุตรชายจะได้รับอันตราย นางยมภรณ์ ผู้เสียหายจึงโอนเงินเป็นค่าไถ่ตัวบุตรชายผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนพัฒนาการ จำนวน 2 แสนบาท จากนั้นได้โอนเงินส่วนที่เหลืออีก 4 แสนบาท ได้โอนที่บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขางามวงศ์วาน แต่ระหว่างนั้นญาติๆ ได้โทรศัพท์ไปหาบุตรชายที่โรงเรียนกระทั่งทราบว่า บุตรชายไม่ได้ถูกอุ้มไปเรียกค่าไถ่ จึงรีบติดต่อไปยังธนาคารกรุงเทพ อายัดเงินจำนวน 4 แสนบาท ไว้ได้ทัน ก่อนจะรีบไปแจ้งความดำเนินคดีที่กองปราบปราม ซึ่งตนได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ณัฐกร นำชุดสืบสวนออกติดตามกลุ่มคนร้าย โดยเริ่มต้นจากชื่อเจ้าของบัญชีเงินฝากที่ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ คือ นายสุพจน์ ซึ่งมีนายพรเทพ เป็นผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชีธนาคารเอาไว้
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวอีกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลจนพบว่าทั้งสองนำบัญชีเงินฝากและบัตรเอทีเอ็มไปให้กับนายอาขวา ซึ่งเมื่อมีการประสานตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง จึงพบว่านายอาขวา เป็นผู้กดเงินออกจากบัญชี จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับและติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ไว้ได้ดังกล่าว ทั้งนี้ คนร้ายกลุ่มนี้มีพฤติการณ์ที่คล้ายคลึงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวต่างชาติเหมือนเป็น “แฟรนไชส์คอลเซ็นเตอร์” โดยยังมีผู้ร่วมกระทำความผิด ประกอบด้วย นายปิยพงษ์ อริยานนท์ อายุ 22 ปี หัวหน้าแก๊ง น.ส.วิภาวาณี แซ่เจ้า อายุ 28 ปี น.ส.นิตยา แซ่เจ้า อายุ 22 ปี และชายไม่ทราบชื่อซึ่งเป็นสามีของ น.ส.นิตยา โดยทั้งหมดเจ้าหน้าที่ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับแล้ว
“หลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะเร่งประสานการทำงานร่วมกับทางธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรมของบัญชีเงินฝากต้องสงสัยที่มีความเคลื่อนไหวทาง บัญชีเป็นที่ผิดสังเกต เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ ตนต้องฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งที่มีบุตรหลานอยู่ในและต่างประเทศให้พึงระวังเมื่อมีโทรศัพท์จากบุคคลที่ไม่รู้จักขอให้ตั้งสติ และพยายามติดต่อกับบุคคลรอบข้าง เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพมีการแอบอ้างและใช้วิธีการในการหลอกลวงหลากหลายวิธี เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้” ผบก.ป.กล่าว
จากการสอบสวน นายอาขวา ให้การรับสารภาพว่า มีหน้าที่เป็นผู้ถอนเงินออกจากบัญชีที่มีเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินเข้ามาให้เท่านั้น แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้เสียหายแต่อย่างใด ซึ่งได้ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มก่อนจะนำเงินที่ได้มาไปมอบให้กับนายปิยพงษ์ โดยได้กดเงินรวม 3 ครั้ง ได้เงินค่าจ้างจำนวน 45,000 บาท นำไปใช้จ่ายและซื้อยาบ้ามาเสพ โดยชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พร้อมกับเร่งขยายผลติดตามตัวผู้ร่วมกระทำความผิดที่เหลือมาดำเนินคดีต่อไป โดยในส่วนของนายปิยพงษ์ เจ้าหน้าที่พบประวัติเคยถูกตำรวจ สภ.แม่ฟ้าหลวง ดำเนินคดีข้อหาค้ายาเสพติด และตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฉ้อโกงในท้องที่ สภ.เตาปูน ด้วย
วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผบก.ป. พ.ต.อ.ณัฐกร ประภายนต์ ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ต.กริช วรทัต สว.กก.2 บก.ป.แถลงการจับกุม นายอาขวา แซ่ลี อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 437 หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายสุพจน์ พรหมบุตร อายุ 21 ปี นายพรเทพ วชิรโกมล อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาข้อหาร่วมกันฉ้อโกง กรรโชกทรัพย์ และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 20,000 บาท โดยจับกุมนายอาขวา ได้ที่บ้านเลขที่ 437 หมู่ 1 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือจับกุมได้ใน จ.นนทบุรี
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นางยมภรณ์ จิตรบรรเทา อายุ 38 ปี แม่ค้าเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง อยู่บ้านเลขที่ 200/241 หมู่ 1 ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ว่า ถูกชายลึกลับโทรศัพท์มาอ้างว่า นายศุภกรณ์ ตั้งวงศ์เจริญ หรือ น้องแบงก์ อายุ 16 ปี บุตรชายซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ถูกจับเรียกค่าไถ่ เนื่องจากบุตรชายไปค้ำประกันเงินให้เพื่อน 6 แสนบาท ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคล้ายบุตรชายร้องขอความช่วยเหลือ และบอกว่า ถูกจับอยู่ในรถตู้ โดยคนร้ายบอกว่าต้องโอนเงินมาชดใช้ 6 แสนบาท หากไม่ทำตามจะตัดแขนและขาและฆ่าให้ตาย นอกจากนี้ ยังขู่ว่าห้ามปิดโทรศัพท์ และไม่ให้นำเรื่องไปบอกใคร
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ด้วยความตกใจ และเกรงว่า บุตรชายจะได้รับอันตราย นางยมภรณ์ ผู้เสียหายจึงโอนเงินเป็นค่าไถ่ตัวบุตรชายผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนพัฒนาการ จำนวน 2 แสนบาท จากนั้นได้โอนเงินส่วนที่เหลืออีก 4 แสนบาท ได้โอนที่บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขางามวงศ์วาน แต่ระหว่างนั้นญาติๆ ได้โทรศัพท์ไปหาบุตรชายที่โรงเรียนกระทั่งทราบว่า บุตรชายไม่ได้ถูกอุ้มไปเรียกค่าไถ่ จึงรีบติดต่อไปยังธนาคารกรุงเทพ อายัดเงินจำนวน 4 แสนบาท ไว้ได้ทัน ก่อนจะรีบไปแจ้งความดำเนินคดีที่กองปราบปราม ซึ่งตนได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ณัฐกร นำชุดสืบสวนออกติดตามกลุ่มคนร้าย โดยเริ่มต้นจากชื่อเจ้าของบัญชีเงินฝากที่ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ คือ นายสุพจน์ ซึ่งมีนายพรเทพ เป็นผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชีธนาคารเอาไว้
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวอีกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลจนพบว่าทั้งสองนำบัญชีเงินฝากและบัตรเอทีเอ็มไปให้กับนายอาขวา ซึ่งเมื่อมีการประสานตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง จึงพบว่านายอาขวา เป็นผู้กดเงินออกจากบัญชี จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับและติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ไว้ได้ดังกล่าว ทั้งนี้ คนร้ายกลุ่มนี้มีพฤติการณ์ที่คล้ายคลึงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวต่างชาติเหมือนเป็น “แฟรนไชส์คอลเซ็นเตอร์” โดยยังมีผู้ร่วมกระทำความผิด ประกอบด้วย นายปิยพงษ์ อริยานนท์ อายุ 22 ปี หัวหน้าแก๊ง น.ส.วิภาวาณี แซ่เจ้า อายุ 28 ปี น.ส.นิตยา แซ่เจ้า อายุ 22 ปี และชายไม่ทราบชื่อซึ่งเป็นสามีของ น.ส.นิตยา โดยทั้งหมดเจ้าหน้าที่ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับแล้ว
“หลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะเร่งประสานการทำงานร่วมกับทางธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรมของบัญชีเงินฝากต้องสงสัยที่มีความเคลื่อนไหวทาง บัญชีเป็นที่ผิดสังเกต เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ ตนต้องฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งที่มีบุตรหลานอยู่ในและต่างประเทศให้พึงระวังเมื่อมีโทรศัพท์จากบุคคลที่ไม่รู้จักขอให้ตั้งสติ และพยายามติดต่อกับบุคคลรอบข้าง เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพมีการแอบอ้างและใช้วิธีการในการหลอกลวงหลากหลายวิธี เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้” ผบก.ป.กล่าว
จากการสอบสวน นายอาขวา ให้การรับสารภาพว่า มีหน้าที่เป็นผู้ถอนเงินออกจากบัญชีที่มีเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินเข้ามาให้เท่านั้น แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโทรศัพท์ไปหลอกลวงผู้เสียหายแต่อย่างใด ซึ่งได้ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มก่อนจะนำเงินที่ได้มาไปมอบให้กับนายปิยพงษ์ โดยได้กดเงินรวม 3 ครั้ง ได้เงินค่าจ้างจำนวน 45,000 บาท นำไปใช้จ่ายและซื้อยาบ้ามาเสพ โดยชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พร้อมกับเร่งขยายผลติดตามตัวผู้ร่วมกระทำความผิดที่เหลือมาดำเนินคดีต่อไป โดยในส่วนของนายปิยพงษ์ เจ้าหน้าที่พบประวัติเคยถูกตำรวจ สภ.แม่ฟ้าหลวง ดำเนินคดีข้อหาค้ายาเสพติด และตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฉ้อโกงในท้องที่ สภ.เตาปูน ด้วย