ศาลอาญาไม่ชี้ชัดใครยิง “มานะ อาจราญ” เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิตเสียชีวิต ช่วงม็อบแดงชุมนุมวันที่ 10 เม.ย. 2553 ระบุได้แค่เสียชีวิตจากกระสุนลูกโดดความเร็วสูงทำลายเนื้อสมอง
ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (21 ก.พ.) เวลา 10.00 น. ศาลอาญานัดคำสั่ง คดีชันสูตรพลิกศพรายที่ 6 หมายเลขดำ อช.8/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องให้ศาลไต่สวนการตายของนายมานะ อาจราญ อายุ 24 ปี ลูกจ้างสวนสัตว์ดุสิต แผนกบำรุงรักษา เพื่อทำคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใครและเสียชีวิตจากสาเหตุใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ซึ่งนายมานะถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่บริเวณกรงเก้งหม้อ ภายในสวนสัตว์ดุสิต ถ.พระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กทม. ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณถนนราชดำเนินกลางและสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กระทั่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคำสั่งขอคืนพื้นที่จากกลุ่ม นปช.
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของอัยการผู้ร้อง ในชั้นไต่สวนแล้วเห็นว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 นายมานะเข้าเวรพร้อมกับนายบุญมี แก้วไทรท้วม เพื่อดูแลเต่าที่ย้ายมาอยู่บริเวณกรงเก้งหม้อ ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. โดยนายบุญมีจะเข้าเวรต่อในช่วง 23.00 น. ขณะที่เมื่อเวลา 20.00 น. นายมานะเดินทางออกไปอาบน้ำแล้วกลับมาเข้าเวร เวลา 21.00-23.00 น. กระทั่งนายมานะเดินทางไปตอกบัตรออกเวรประมาณ 2 นาที นายบุญมีก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากบริเวณลานจอดรถ เมื่อนายบุญมีปืนดูจากกรงเก้งหม้อเห็นศพนายมานะนอนอยู่ ระหว่างนั้นนายบุญมีก็ได้หาที่หลบนานประมาณ 20 นาที เสียงปืนจึงสงบลง ภายหลังเมื่อมีการตรวจสถานที่พบปลอกกระสุน จำนวน 2 ปลอกที่ห่างจากศพตายประมาณ 25 เมตร และบริเวณใกล้เคียงพบเสื้อเขียวของทหาร โล่ และกระบอง
ขณะที่จากการไต่สวนทราบว่า ภายในสวนดุสิตมีกองกำลังเจ้าหน้าที่จากกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา จำนวน 150 นาย ที่ได้รับคำสั่งดูแลพื้นที่ระหว่างสวนสัตว์ดุสิตและรัฐสภาในวันที่ 10 เม.ย. 2553 โดยระหว่างช่วงเกิดเหตุมีเสียงปืนดังขึ้นจากฝั่งรัฐสภาและมีเสียงตะโกนแจ้งว่า “มันมาแล้ว” เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้หมอบลงกับพื้น
ขณะที่อัยการ ผู้ร้อง ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าใครยิงผู้ตาย คงมีเพียงเจ้าหน้าที่ รปภ.สวนสัตว์ดุสิต จะเบิกความว่าเห็นเจ้าหน้าที่ทหารยิงปืนลักษณะเฉียงขึ้นฟ้า แต่ก็ไม่ใช่จุดเดียวกับที่พบศพผู้ตายนอนเสียชีวิต อีกทั้งระหว่างที่ได้เสียงปืนก็พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารบอกให้นายบุญมีหมอบลงโดยไม่มีท่าทีคุกคาม ซึ่งหากเจ้าหน้าที่เป็นผู้ยิงนายมานะนายบุญมีที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะถูกยิงด้วย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์วิถีกระสุนก็ยังเบิกความเกี่ยวกับวิถีกระสุนได้เพียงกว้างๆ ว่ายิงมาจากด้านหลังทะลุด้านศีรษะ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่ากระสุนนั้นยิงมาจากจุดที่เจ้าหน้าที่ทหารนอนหมอบอยู่ โดยห่างจากศพผู้ตายพบเพียงปลอกกระสุนที่ไม่ทราบว่ามาจากอาวุธขนาดเท่าใดเพราะไมมีหัวกระสุนตรวจเปรียบเทียบ และร่องรอยกระสุนที่พบตามต้นไม้ยังทำให้สันนิษฐานได้ว่าวิถีกระสุนจากการยิงอาจเกิดขึ้นได้หลายจุด ซึ่งเป็นได้ด้วยว่าภายในสวนสัตว์ดุสิตอาจมีบุคคลอื่นที่มีอาวุธปืนอยู่ด้วย ประกอบกับเมื่อมีการนำอาวุธปืนทั้งหมด 29 กระบอกที่ผู้ควบคุมกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 ค่ายสุรนารี เบิกไปใช้นำมาตรวจสอบ แต่ไม่ปรากฏว่าปลอกกระสุนนั้นตรงกับกระสุนปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารดังกล่าวใช้ ดังนั้นพยานหลักฐานของอัยการ ผู้ร้อง จึงยังมีข้อสงสัยว่าใครเป็นผู้ลงมือยิงผู้ตาย
ศาลจึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือนายมานะ อาจราญ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 เหตุและพฤติการณ์การตายถูกยิงด้วยกระสุนลูกโดดความเร็วสูงทำลายเนื้อสมอง โดยยังไม่แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือกระทำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้คงมีเพียงอัยการ ผู้ร้องที่มาฟังคำสั่งศาล โดยไม่มีครอบครัวและญาติของนายมานะ มาร่วมฟังคำสั่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ คดีของนายมานะเป็นศพรายที่ 6 ที่ศาลมีคำสั่งชี้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ปี 2553