ตรงเป้า
ศรรามา
เมื่อข่าวแพร่กระจายไปสู่สาธารณชน พนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังอัยการจังหวัดเพชรบุรี มีความเห็น “ไม่ฟ้อง” พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี สว.สส.สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าไปล่าสัตว์ป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี แต่สั่งฟ้องผู้ต้องหาอีก 8 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกัน
ทำให้เกิดข้อกังขาและวิพากษ์วิจารณ์ว่า......ตำรวจช่วยพวกเดียวกัน และตำรวจตกเป็นจำเลยของสังคมในฉับพลัน
เพราะสังคมรับรู้เรื่องราวทั้งข่าวและภาพจากสื่อต่างๆ เห็นชัดว่า พ.ต.ท.ธีรยุทธ นั่งดื่มเหล้าเรดเลเบิ้ลกับคณะ บนลังที่ทำเป็นโต๊ะอาหารหน้าเต๊นท์ค้างแรม มีปืนพกวางอยู่หลายกระบอก รวมทั้งกับแกล้มอีก 2 จาน น่าจะเป็นเนื้อกระจง และเนื้อกบ เพราะในที่เกิดเหตุมีซากกระจงเพศเมีย 1 ตัว กบทูด หรือกบภูเขา ที่ยังมีชีวิตอีก 100 ตัว
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ ก็ต้องย้อนไปลำดับความตั้งแต่เริ่มแรก เริ่มตั้งแต่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้รับรายงานว่า มีบุคคลกลุ่มหนึ่งเช่าเรือหางยาวติดเครื่องยนต์ 3 ลำ เข้าไปในเขตอุทยาน
นายชัยวัฒน์ สั่งเจ้าหน้าที่อุทยาน 15 นาย และขอความร่วมมือจากค่ายฝึกรบพิเศษแก่งกระจาน ส่งทหารพลร่มมา 2 นาย ติดตามพฤติการณ์ของบุคคลกลุ่มนั้น ซึ่งบุกรุกเข้าไปในเขตอุทยานโดยไม่ได้ขออนุญาตตามระเบียบ
เจ้าหน้าที่ใช้เวลา 2 วัน ก็ติดตามไปพบชาย 9 คน ขณะพักแรมอยู่ที่ห้วยแม่ประโคน หมู่ที่ 3 ต.สองพี่น้อง อ.แก่งกระจาน เมื่อกลางคืนวันที่ 10 พฤศจิกายน 2555 พร้อมด้วยของกลางหลายรายการ เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปขณะเข้าจับกุมด้วย
ทั้ง 9 คน ได้แก่ พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี สว.สส.สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายศานิต อำนวยเลขา เจ้าหน้าที่ทางหลวงชนบทเพชรบุรี นายอรรถวุตต์ ดียิ่ง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าภูมิภาคเพชรบุรี นายกิตติพล แซ่ลิ้ม นายระย้า คะนอง นายนิธิศ เกษมสงคราม นายสุชิน กลัดหลำ นายสายชล กลัดหลำ และนายสมชาย ปีดอก
นายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานคนนี้แหละ ที่บันทึกจับกุมชาย 8 คน เป็นผู้ต้องหา ยกเว้น พ.ต.ท.ธีรยุทธ ซึ่ง นายชัยวัฒน์ เปรียบเทียบปรับ 1,000 บาท แล้วปล่อยตัวไป โดยสอบสวนแล้ว พ.ต.ท.ธีรยุทธ อ้างว่า เข้าไปเที่ยวในอุทยานคนเดียว ไปเจอชายกลุ่มนั้น เลยขออาศัยนั่งเรือมากินเหล้าค้างแรมด้วย นายชัยวัฒน์ บอกด้วยว่า ที่ปล่อย พ.ต.ท.ธีรยุทธ ไป เพราะค้นในตัวแล้วไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย รวมทั้ง พ.ต.ท.ธีรยุทธ ปฏิเสธว่า ปืนทั้ง 9 กระบอกนั้นไม่ใช่ของตน
นายชัยวัฒน์ นำตัวชาย 8 คนพร้อมของกลาง ส่งให้ตำรวจ สภ.แก่งกระจาน ดำเนินคดี และต่อมาได้พบภาพถ่ายในกล้องถ่ายรูปของผู้ต้องหาชุดแรก มีภาพ พ.ต.ท.ธีรยุทธ หลายอิริยาบถอยู่ในกิจกรรมกับชายกลุ่มนั้น เชื่อว่า ได้ร่วมกระทำความผิดจริง นายชัยวัฒน์จึงแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ธีรยุทธ
ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย เมื่อมีคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องให้ฝ่ายปกครองเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน คดีนี้จึงมี นายสุทธิพงษ์ ตันบุญยศิริเดช นายอำเภอแก่งกระจาน เป็นหัวหน้าคณะ พ.ต.ท.กลยุทธ์ วงษ์เพชร พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สภ.แก่งกระจานและปลัดอำเภอแก่งกระจานอีก 1 นาย เป็นพนักงานสอบสวน
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2556 พ.ต.ท.กลยุทธ์ นำสำนวนสอบสวนซึ่งแบ่งเป็น 3 คดี ไปมอบให้อัยการจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนเสนอความเห็นสั่งฟ้อง 8 ผู้ต้องหา และสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ธีรยุทธ โดยอ้างเหตุผลว่า ภาพที่ปรากฏต่อสังคม พ.ต.ท.ธีรยุทธ นั่งดื่มเหล้ากับผู้ต้องหา ไม่มีวันเวลาระบุในภาพ และภาพนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่ใด ถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อใด รวมทั้งภาพการล่าสัตว์ก็ไม่มีมายืนยัน
เหตุผลที่ไม่เข้าท่านี่แหละ กระแสสังคมจึงไหลไปรวมกัน ตราหน้าตำรวจช่วยเหลือพวกเดียวกัน ส่วนผู้ต้องหา 8 คนที่ถูกฟ้อง มีภาพยืนยันชัดแจ้งกำลังยิงปืนล่าสัตว์อย่างนั้นหรือ รวมทั้ง พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาตอกย้ำว่าพนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน ใช้ดุลยพินิจสั่งคดีโดยอิสระ ไม่ได้ช่วยเหลือสีเดียวกันแต่อย่างใด ก็กลายเป็น “ภาพลบ” ไปอีก เพราะคำชี้แจงนั้น มันสวนกับความรู้สึกของประชาชน
เมื่อกระแสสังคมมาแรง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ต้องสั่งให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.จัดการคลี่คลายสถานการณ์โดยรีบด่วนแต่อย่างดีที่ “บิ๊กปาน” ทำได้ ก็แค่เรียก พ.ต.ท.กลยุทธ์ มาสอบถาม เอาสำนวนสอบสวนมาดู เพราะคดีนี้อยู่ในขั้นพิจารณาของพนักงานอัยการ ตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้ แม้นายชัยวัฒน์หัวหน้าอุทยาน จะนำหลักฐานเพิ่มเติมไปมอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้ว่าฯ ก็ทำได้แค่ส่งหลักฐานนั้นมาที่ตำรวจ
ถ้าพนักงานอัยการมีความเห็นให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนเพิ่มเติมตรงนั้นตรงนี้ นั่นแหละตำรวจถึงจะเข้าไปมีบทบาทอีกครั้ง คราวนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะส่ง พล.ต.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไปดูแลสำนวน
มีหลายแง่มุมให้ขบคิด พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธุ์ รอง ผบช.ภ.7 โยนอำนาจการสั่งคดีไปที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ตำรวจสั่งคดี ส่วนเรื่องที่ว่าช่วยพวกเดียวกันนั้น ยืนยันว่าดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง เพียงแต่ว่า “มันขัดกับความรู้สึกของประชาชน” สอดคล้องกับคำพูดของ พล.ต.อ.ปานศิริ ที่หลุดออกว่า “มันสะท้อนใจ”
มีหลายคำถามที่ตามมา การให้นายอำเภอเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ในคดีที่เกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ นายอำเภอมีความรู้ด้านตัวบทกฎหมายเพียงใด โดยเฉพาะคดีนี้ คณะพนักงานสอบสวนเคยเข้าไปดูพื้นที่ที่เกิดเหตุในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานหรือไม่ หรือว่าใช้แค่จินตนาการอยู่ในห้องแอร์
นายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานซึ่งเป็นต้นเรื่อง ก็ต้องเคลียร์ตัวเองด้วย ใช้มันสมองส่วนไหนคิดว่า คำให้การของ พ.ต.ท.ธีรยุทธ ว่า เข้าไปเที่ยวคนเดียว แล้วไปพบกับคนกลุ่มนั้นโดยบังเอิญ ว่าเป็นความจริง เอาอะไรพิสูจน์ว่าปืนของกลางทั้ง 9 กระบอก ไม่ใช่ปืนของ พ.ต.ท.ธีรยุทธ จึงตัดสินเพียงแค่ พ.ต.ท.ธีรยุทธ มีความผิดฐานเข้าไปในอุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต เปรียบเทียบปรับแล้วปล่อยตัวไป
มาถึงวันนี้ต้องยอมรับ การสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี กลายเป็นคดีที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้ง มันเกิดจากเหตุการณ์และพฤติการณ์ ตั้งแต่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ไม่ผิดอะไรกับ “ผีเน่า” เมื่อเรื่องถึงมือพนักงานสอบสวน เสมือนเป็น “โลงผุ” พอโลงแตก ผู้คนต้องอุดจมูก มองทะลุเห็น “ผีเน่า” น้ำเหลืองเยิ้ม.