สตช.สั่งทุกหน่วยบูรณาการดูแลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด หลังสถิติการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ทั้งถูกฆาตกรรม-อุบัติเหตุ ขีดเส้น 30 วันจะต้องเห็นเป็นรูปธรรมมนำร่องใน 5 จุด ได้แก่ พัทยา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ ด้านผบ.ตร.สั่งผู้บังคับบัญชาดูแลพฤติกรรมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดล้อมคอกลูกน้องฆ่าตัวตายถี่ขึ้น
วันนี้ (8 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา (สบ 10) เป็นประธานการประชุมหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.วุฒิกล่าวว่า ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเสียชีวิตในประเทศไทย ทั้งจากอุบัติเหตุ และเหตุอาชญากรรมบ่อยครั้ง จึงต้องกำหนดมาตรการช่วยเหลือให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนการดูแลนักท่องเที่ยวไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ได้มอบหมายให้ตำรวจท้องที่บูรณาการกำลังกับตำรวจสอบสวนกลาง เพิ่มการวางกำลัง หรือความถี่ในการตรวจตราจุดเสี่ยง จุดล่อแหลมต่างๆ ซึ่งในวันจันทร์ที่ 14 ม.ค.นี้จะเชิญตัวแทนจากกรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกันหารือ เพื่อนำกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค และกฎหมายฟอกเงินมาใช้ดำเนินคดีต่อกลุ่มมิจฉาชีพที่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และนักท่องเที่ยวอย่างครบวงจร พร้อมตั้งเป้าภายใน 30 วันนับจากวันนี้เป็นต้นไป เหตุร้ายที่มีต่อนักท่องเที่ยวจะต้องลดลง
พล.ต.อ.วุฒิกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ตำรวจท่องเที่ยวได้ประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดตั้งกองทุนที่จะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวขึ้นมาด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาจากกองทุนนี้ เช่น กรณีการอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยรู้สึกได้รับความปลอดภัยมากที่สุด
ด้านพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. แถลงถึงมาตรการการดูแลรักษษความปลอดภัยนักท่องเที่ยวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้สรุปข้อสั่งการเรื่องการดูแลความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สินและประชาชน โดยเน้นย้ำตั้งแต่ 1 เดือนนี้เป็นต้นให้ระดมกวาดล้างอาชญากรรมตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเริ่มนำร่องใน 5 จุด ได้แก่ พัทยา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้มาตรการกดดัน กวาดล้างผู้ต้องหาตามหมายจับหรือข้อร้องเรียน และให้วางมาตรการในระยะยาวต่อไป
ด้านพล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รองโฆษกตร. กล่าวว่า ตร.ได้มีการขับเคลื่อนนโยบายการดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว โดยสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย การช่วยเหลือนักท่องเที่ยว การป้องกันการหลอกลวง การอำนวยความสะดวก และการบริหารนักท่องเที่ยว ซึ่งในส่วนนี้ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ผบช.น ผบช.ภาค 1-9 บชก. สตม. ให้เพิ่มความเข้มในการดูแลและอำนวยความสะดวก โดยมอบให้รองผู้บัญชาการและรองผู้บังคับการที่รับผิดชอบงานดังกล่าวตั้งชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยและให้บริการนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ พัทยา ภูเก็ต หัวหิน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน การจัดตั้งอาสาสมัครดูแลนักท่องเที่ยว การจัดการอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปฏิบัติงาน จัดพื้นที่เซฟตี้โซน การประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน โดยวันนี้ผบ.ตร.จะไปมอบนโยบายและรับฟังปัญหาการปฏิบัติเพื่อหาทางป้องกัน ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี จากนั้นจะปล่อยแถวการระดมการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าตำรวจฆ่าตัวตายมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. มีความเป็นห่วงอย่างมาก ได้สั่งการกำชับให้ผู้บังคับบัญชาดูแลพฤติกรรมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด หากพบมีพฤติกรรมผิดปกติ หรือขาดราชการให้รีบตรวจสอบทันที เพราะถ้าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดและได้รับโทษผู้บังคับบัญชาต้องได้รับโทษตามนั้นด้วย ส่วนกรณี ร.ต.อ.นิติพัฒน์ นำผล อายุ 43 ปี สว.ฝอ.4 บก.ภ.จ.ชลบุรี ใช้ปืนยิงตัวตาย นั้นเกิดจากความเครียดปัญหาส่วนตัวและได้รับงานที่ไม่ถนัด ขณะที่กรณีของ ด.ต.บุญธนะ สุดรอด อายุ 55 ปี ผบ.หมู่กลุ่มงานสืบสวน สภ.เมืองนครปฐม ใช้ปืนยิงตัวตาย เบื้องต้นจากการตรวจสอบไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเลื่อนยศจากนายดาบตำรวจเป็นร้องตำรวจตรี เนื่องจากการเลื่อนยศเจ้าตัวต้องสมัครใจ ซึ่งด.ต.บุญธนะก็สมัครใจด้วยตัวเอง ดังนั้น กรณีนี้น่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า ทั้งนี้ได้สั่งการไปยัง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ ผู้กำกับสถานีให้ตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว