ตรงเป้า
ศรรามา
สีกากีเปิดศึก ฟัดกันนัวประชันไฟใต้
ในที่สุด ศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ก็ได้พนักงานสอบสวนมาเติมในส่วนที่ขาดแคลน ครบจำนวน 150 นาย
พนักงานสอบสวนหลายกองบัญชาการ สมัครใจไปรับใช้ประเทศชาติในพื้นที่เสี่ยงภัย เกินจำนวนที่ต้องการ ต้องจับสลากเอาส่วนเกินออก ซึ่งมีพนักงานสอบสวนของตำรวจภูธรภาค 5 ภาคเหนือตอนบน รวมอยู่ด้วย
ต้องชื่นชมตำรวจภาคนี้ เพื่อน 17 คน ไปทำงานในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีกำหนด 2 ปี พวกเขาพร้อมใจให้ผู้บังคับบัญชาหักเงินเดือน เป็นเงินพิเศษให้เพื่อน คนละ 2,000 บาทต่อเดือน เก็บสะสมเป็นกองกลาง เมื่อครบ 2 ปี เพื่อนกลับบ้านจะได้เงินคนละ 48,000 บาท อาจจะพาครอบครัวไปเที่ยว 3 จังหวัดภาคใต้ที่เคยปฏิบัติงานก็ได้
พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 บอกกับลูกน้องทั้ง 17 นาย ว่า อีกสักพักจะลงไปเยี่ยมทุกคนถึงที่ทำงาน ไม่ได้ไปคนเดียว แต่จะพาครอบครัวไปด้วย
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงใต้ก่อนสิ้นปีเก่า บอกว่าสถานการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ดีขึ้น มันก็ดีในช่วงนั้นจริง เพราะตำรวจทหารรักษาการณ์ป้องกันเหตุร้าย ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างเข้มแช็ง
โจรก่อการร้ายหน้าไหนมันจะกำแหง
แถมกระพือข่าวคุมเข้มเกรงเกิดเหตุร้ายแรง ใน “วันอัปยศ” 4 มกราคม 2556 ครบรอบ 9 ปี การบุกปล้นกองพันทหารพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ก็แค่ผ่านวันอัปยศเพียงวันเดียว โจรก่อการร้ายก็เริ่มปฏิบัติการสงครามกองโจรทันที ในวันที่ 5 มกราคม 2556
เริ่มจากโจมตีรถบรรทุกทหาร กองร้อยทหารราบที่ 1523 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 23 ขณะออกจากฐานโรงไฟฟ้าตะลุโบ๊ะ อ.เมืองปัตตานี นำกำลังไปเปลี่ยนเวรจุดตรวจ พลทหาร ศราวุธ ศรีนคร ตาย และบาดเจ็บอีก 5 นาย
ตกค่ำวันเดียวกัน พวกมัน 4 คน ใช้มอเตอร์ไซค์ 2 คัน เป็นพาหนะ ยิงถล่มกองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน ซึ่งตั้งอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอศรีสาคร จ.นราธิวาส กระสุนอาก้าราวห่าฝน เจาะร่าง นางอัญชลี เหล่าจันทร์ ภรรยาอาสาสมัคร ถึงแก่ความตายขณะทำอาหารกับแม่บ้านอาสาสมัครคนอื่นอยู่ในครัว
ไฟใต้มันลุกโชนอีกแล้ว ไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้สัมผัสกับไอร้อนนี้หรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ ตำรวจซึ่งอยู่ดีกินดีมีสุขในส่วนอื่น ไม่รู้ร้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เห็นอกเห็นใจเพื่อนตำรวจทหาร ที่ทำงานเสี่ยงตายในดินแดนที่เต็มไปด้วยภยันตรายที่มองไม่เห็นตัว
กลับเปิดศึกสีกากี ฟัดกันเองนัวเนีย เป็นที่น่าสังเวชยิ่งนัก ที่จังหวัดลพบุรี จับคู่น่าดูชม พล.ต.ต.วัฒนา เขตร์สมุทร ผู้บังคับการจังหวัด นรต.29 เกษียณปีนี้ รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว กับรองผู้บังคับการ พ.ต.อ.ศุภโยชก์ ธารีไทย นรต.37
พล.ต.ต.วัฒนา ย้ายมาจากจังหวัดอ่างทอง มาเกษียณที่ลพบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่กว่า ส่วน พ.ต.อ.ศุภโยชก์ ก็เพิ่งย้ายมาจากจังหวัดสิงห์บุรี แต่ “เดอะตั๋ง” พ.ต.อ.ศุภโยชก์ ไม่ใช่คนหน้าใหม่ของเมืองละโว้ เคยเป็นรอง ผกก.สส.สภ.ต.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี รอง ผกก.หน.สภ.อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี ผกก.สภ.เมืองลพบุรี รอง ผบก.ลพบุรี เพียงปีเดียวก็ย้ายไปเป็นรอง ผบก.สิงห์บุรี เมื่อเดือนเมษายน 2555 แล้วกลับมาลพบุรีอีกรอบ
ลพบุรีมีอบายมุขไม่น้อยหน้าจังหวัดใด โดยเฉพาะ “บ่อนการพนัน” อาหารจานโอชะของตำรวจ มีทั้งบ่อนของนักการเมือง บ่อนของผู้มีอิทธิพล มีทั้งบ่อนวิ่งและบ่อนปักหลัก
ว่ากันว่า บ่อนผู้มีอิทธิพลชื่อ“โด่” ยืนยงคงกระพันตลอดกาล ไม่มีสีกากีกล้าแพ้วพาน มีแต่คลานไปสยบ จนกระทั่งนายตำรวจคนหนึ่งได้ฉายาว่า “ลูกชายนายโด่” เนื่องจากได้รับการอุปภัมภ์เลี้ยงดูราวกับเป็นลูก และตำรวจนายนี้ก็คอยปกป้องดูแลบ่อนของพ่ออย่างดียิ่ง
ศึกระหว่างนายพลกัยนายพันสีกากี ก็มาจากต่างคนต่างแย่งกันจับบ่อนนี่แหละ พอบ่อนหนึ่งถูกจับ อีกบ่อนก็ถูกจับทันทีทันควัน เข้าทำนอง “ไก่เห็นตีนงู งูก็เห็นนมไก่” นั่นแล
เรื่องนี้ถ้า พล.ต.อ.อดุลย์ ไม่จัดการโดยเร็ว นับวันภาพลักษณ์ตำรวจลพบุรีจะเสื่อมทราม เพราะชาวบ้านต่างเอือมระอากับพฤติกรรม “แย่งชามน้ำข้าว” นับวันศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อตำรวจยิ่งทรุดลง
ที่พัทยาก็เป็นเรื่องเจ้านายตักเตือนลูกน้องเรื่องการทำงาน ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เพราะพัทยาเป็นแผ่นดินเงินแผ่นดินทอง อุดมสมบูรณ์ด้วยผลประโยชน์อันมิชอบมากมาย ไม่ว่าจะทวนน้ำ หรือตามน้ำ อยู่ในดงคนเสื้อแดง
พ.ต.อ.ธรรมนูญ มั่นคง ผกก.เมืองพัทยา นรต.37 โดนพิษบ่อนเด้งไปเป็น ผกก.สภ.มะขาม จ.จันทบุรี พ.ต.อ.กิตติธเนศ เชี่ยวนาวินธวัช จาก ผกก.ฝอ.4 อก.บช.ภ.1 มาเป็น ผกก.เมืองพัทยา เป็นที่รู้กันทั่ว กลุ่มเสื้อแดงมีอิทธิพลสูงในจังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะเมืองพัทยา ตำรวจระดับสูงจะถูกนำเข้าโดยกลุ่มคนนี้
เมื่อห้องพัก ผกก.เมืองพัทยา ถูกยิงถล่ม ชื่อ พ.ต.อ.กิตติธเนศ กลายเป็น พ.ต.อ.สุวรรณ์ มันก็คนๆ เดียวนั่นแหละ นรต.45 ชาวกาฬสินธุ์คนนี้แต่เดิมชื่อ “สุวรรณ์” นามสกุล “เชี่ยวนาวิน” ก็เปลี่ยนนามสกุลเป็น “เชี่ยวนาวินธวัช”
เปลี่ยนชื่อจากสุวรรณ์ เป็นกิตติธเนศ เปลี่ยนจากกิตติธเนศ เป็น “สุทธินันท์” แล้วย้อนกลับมาเป็นกิตติธเนศ เป็นสุวรรณ์อย่างเดิม
เคยเป็น รอง ผกก.สภ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา รอง ผกก.ป.สภ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ รอง ผกก.ฝอ.ภ.สิงห์บุรี เป็น ผกก.ฝอ.4 อก.บช.ภ.1 ทำหน้าที่ฝ่ายพลาธิการและพัสดุ ทางด้าน “ดาบเก้ง” ด.ต.ธีรพัฒสิฐ สหปภาพัฒน์ ผบ.หมู่งานสืบสวน ผู้ต้องหายิงถล่มห้องพัก พ.ต.อ.สุวรรณ์ แม้จะให้การปฏิเสธ แต่ พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ ผบก.ชลบุรี เสนอเรื่องให้ออกจากราชการไว้ก่อน ใครจะเป็นจะตายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ไม่สนใจไม่ห่วงใยเพราะไกลตัว
ไม่ต้องไล่จับโจรผู้ร้ายให้เหนื่อยยาก หันมาฟัดกันเองมันกว่า เรื่องระเบียบวินัยไม่ต้องคำนึงถึง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะล้มละลาย ก็ชั่งหัวมัน.