ศาลอาญาไต่สวนการตาย “ชาญณรงค์ พลศรีลา” แท็กซี่เสื้อแดง ระบุชัดถูกยิงตายที่ซอยรางน้ำเมื่อปี 2553 เกิดจากฝีมือทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ศอฉ.
วันนี้ (26 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งการไต่สวนคำร้องชันสูตรศพคดีดำ อช. 1/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรการเสียชีวิตของนายชาญณรงค์ พลศรีลา แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อทำคำสั่ง แสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ซึ่งนายชาญณรงค์ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ซ.รางน้ำ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ในช่วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติจากพยานทุกปากว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.จัดให้มีการชุมนุมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นประกาศยุบสภา โดยมีการตั้งเวทีปราศรัยและชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ถ.ราชดำเนิน และต่อมาได้ไปตั้งเวทีปราศรัยที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ต่อมารัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2553 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2553 ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และตั้งนายสุเทพเป็นผู้อำนายการ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2552 ต่อมามีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 93/2553 ให้ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ขณะนั้นเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ศอฉ.ส่งกำลังเข้าไปขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งให้ ศอฉ.ดำเนินการตามมาตรการสากลและเท่าที่จำเป็นต่อผู้ชุมนุม ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ศอฉ.ใช้มาตรการปิดล้อมและสกัดกั้นผู้ชุมนุมบริเวณถนนราชปรารภ ถนนศรีอยุธยา ถนนเพชรบุรี และถนนราชวิถี เวลา 14.00 น.ส่งทหารเข้าวางกำลังบนถนนราชปรารภระหว่างซอย 12-14 กระทั่งวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลา 15.00 น. นายชาญณรงค์ ผู้ตายซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ได้นำเอายางรถยนต์ไปวางเป็นแนวบังเกอร์บริเวณหน้าสถานีบริการน้ำมันเซลล์ มีเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดๆ และนายชาญณรงค์ ผู้ตายถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด ได้ความจากนางสุริยัน พลศรีลา ภรรยาผู้ตาย พนักงานสอบสวน นายนิโคลัส นอร์ทิส ช่างภาพอิสระชาวเยอรมัน และนักข่าวชาวไทยและต่างประเทศที่ไปถ่ายภาพทำข่าวในที่เกิดเหตุ เป็นพยานเบิกความประกอบภาพถ่ายที่เกิดเหตุ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายชื่อนายชาญณรงค์ พลศรีลา ตายที่โรงพยาบาลพญาไท 1 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 14.00 น. ตามรายงานการตรวจศพ
ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า เหตุและพฤติการณ์ที่ตายและใครเป็นผู้ทำให้ตาย สำหรับเหตุที่ตายมี แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรศพผู้ตายเบิกความว่า นายชาญณรงค์ ผู้ตายถูกกระสุนความเร็วสูงเข้าที่ท้องทำให้ลำไส้ขาดหลายแห่ง และเก็บหัวกระสุนที่ได้จากศพผู้ตายส่งไปตรวจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจอาวุธปืนตรวจพิสูจน์แล้วยืนยันว่าเป็นหัวกระสุนขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร และหัวกระสุนดังกล่าวใช้กับปืนความเร็วสูงชนิดเอ็ม16, เอชเค33 และทาโวร์-ทาร์ 21
สำหรับพฤติการณ์ที่ตายและใครทำให้ตายนั้น ได้ความจากพยานกลุ่มที่เป็นนักข่าวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่ไปถ่ายภาพและรายงานข่าวในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญ เบิกความว่า กระสุนปืนถูกยิงมาจากทางที่ทหารประการอยู่หลังรั้วหีบเพลงลวดหนาม และกระสอบทรายที่ตั้งอยู่บริเวณถนนราชปรารภด้านฝั่งประตูน้ำ กระสุนถูกผู้ตาย ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ มีสื่อมวลชนถ่ายภาพเหตุการณ์ไว้ นอกจากนี้ มีเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเบิกความยืนยันว่าพบรอยกระสุนปืนฝั่งที่ผู้ตายและผู้ชุมนุมอยู่ โดยกระสุนปืนถูกยิงมาจากทางที่ทหารประจำการอยู่ มีแผนที่สังเขปและภาพถ่ายเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุเป็นพยาน
ขณะที่พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ในบริเวณดังกล่าว สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกความยอมรับว่า ทำหน้าที่ที่ถนนราชปรารภตามที่ ศอฉ.ส่งไป แต่ไม่มีทหารในสังกัดยิงใส่ผู้ชุมนุม ขัดกับพยานหลักฐานรอยกระสุนปืนที่พบ คำเบิกความของพยานกลุ่มนี้จึงมีพิรุธขัดแย้งกับหลักฐานภาพถ่าย
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงถูกนายชาญณรงค์ ผู้ตายมาจากทางทหาร แต่เมื่อคำสั่ง ศอฉ.ให้ พล.1 รอ.ไปทำหน้าที่บริเวณดังกล่าว ไม่ปรากฏว่ากองพันทหารราบที่ 3 สังกัด พล.1 รอ. หรือไม่ เนื่องจากผู้ร้องไม่นำสืบให้ชัดว่า เป็นหน่วยใดและบริเวณที่เกิดเหตุมีทหารหน่วยกองพันทหารราบที่ 3 เพียงหน่วยเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีพยานเห็นขณะยิง จึงฟังไม่ได้ว่าทหารจากกองพันทหารราบที่ 3 เป็นผู้ยิง อาจเป็นหน่วยอื่นก็เป็นได้ จึงฟังได้เพียงว่าทหารที่ ศอฉ.ส่งไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ทำให้ตาย ส่วนผลการตรวจปืนไม่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าทหารไม่ได้ยิงเพราะเปลี่ยนลำกล้องได้
ดังนั้น ข้อเท็จจริงในปัญหาข้อที่ว่าเหตุและพฤติการณ์ที่ตายเป็นอย่างไรและจากใครเป็นผู้กระทำร้ายผู้ตายเท่าที่จะทราบได้ จึงรับฟังได้ว่า ผู้ตาย ตายเพราะถูกกระสุนปืนจากอาวุธปืนความเร็วสูง ขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร ของทหารที่ ศอฉ.ส่งไปดำเนินการตามมาตรการปิดล้อมและสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่และผิวจราจรบริเวณถนนราชปรารภ
อาศัยเหตุผลดังที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวขั้นต้น จึงมีคำสั่งว่าผู้ตายคือนายชาญณรงค์ พลศรีลา ตายที่โรงพยาบาลพญาไท 1 แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 14.00 น. เหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือ ถูกทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในการดำเนินการตามมาตรการปิดล้อมและสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่และผิวการจราจรบริเวณถนนราชปรารภ ยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูง ขนาด .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร หัวกระสุนปืนลูกโดดถูกที่บริเวณหน้าท้องและแขนขวา เป็นเหตุให้ลำไส้เล็กฉีกขาดหลายตำแหน่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำสั่งวันนี้มีนางสุริยัน พลศรีลา ภรรยาผู้ตาย น.ส.มนชยา และน.ส.นิพาดา พลศรีลา บุตรสาวผู้ตาย นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.มาร่วมฟังคำสั่งด้วย
ภายหลังฟังพิพากษา นางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช.กล่าวว่า ที่ศาลมีคำสั่งในวันนนี้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และพยานที่มาเบิกความต่อศาลคดีนี้ก็มากจากสื่อมวลชนที่ไม่ได้เป็นสื่อของเสื้อแดง เรื่องการเยียวยาญาติและครอบครัวผู้ตายด้วยการจ่ายเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่การที่ผู้ตายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศของครอบครัวผู้ตายเสียหาย จึงควรเยียวยาความรู้สึกด้วยการเสนอความจริงแก้ไขชื่อเสียงให้
ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.กล่าวว่า เมื่อคำสั่งศาลระบุว่านายชาญณรงค์ ผู้ตาย ถูกเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฎิบัติตามคำสั่ง ศอฉ.ยิงตาย ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในฐานะ ผอ.ศอฉ.ควรต้องออกมารับผิดชอบ และในคดีนี้ที่ฝ่ายทหารมาเบิกความว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธนั้น ศาลก็ไม่ได้นำประเด็นดังกล่าวมาพิจารณาเนื่องจากไม่เกี่ยวกับการตายของนายชาญณรงค์ และจากการตรวจพิสูจน์ในที่เกิดเหตุปรากฏร่องรอยกระสุนของทหารมากถึง 33 รอย แสดงให้เห็นว่าผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธอื่นใด มีเพียงหนังสติ๊กเป็นอาวุธเท่านั้น
นางสุริยัน ภรรยากล่าวว่า ดีใจที่ได้รับความยุติธรรมและคาดการณ์ไว้แล้วว่าผลคำสั่งศาลน่าจะออกมาลักษณะนี้ เพราะก่อนหน้านี้มีพยานที่เห็นเหตุการณ์มาบอกว่าสามีเสียชีวิตจากการถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิง ส่วนการดำเนินการต่อไปนั้นต้องขอปรึกษาทนายความก่อน
ด้านนายโชคชัย ทนายญาติผู้ตายกล่าวว่า หลังศาลมีคำสั่ง พนักงานอัยการก็จะนำคำสั่งศาลไปมอบให้พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป