เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแชร์บลิสเชอร์ฉ้อโกงสมาชิกหลอกซื้อตั๋วท่องเที่ยวทัวร์ต่างประเทศได้นาน 20 ปี อีกครั้งที่สอง ระบุฝ่ายโจทก์ยังไม่ได้รับหมาย พร้อมนัดอีกครั้ง 11 ธ.ค.นี้
วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งเลื่อนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เป็นครั้งที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ ด.4756/2537 ที่อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัทบลิสเชอร์ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด, น.ส.อังสุนีย์ พัฒนานิธิ อดีตกรรมการบริษัท, น.ส. ปัรจวรรณ เบญจมาศมงคล อดีตผู้ก่อตั้งบริษัท และผู้ถือหุ้น, นายแสงทอง แซ่กิม อดีตผู้ก่อตั้งบริษัท และพนักงานฝ่ายขายอิสระ และนายอรรณพ หรืออาร์ต กุลเสวตร์ อดีตผู้จัดการสาขาศูนย์สีลม เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ประกอบ 83 และความผิดตาม พ.ร.ก.ว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4, 5, 12 และ 15 จากกรณีเมื่อปี 2535-2536 บจก.บลิสเชอร์ฯ ซึ่งประกอบธุรกิจจัดสรรวันพักผ่อน หรือไทม์ แชริ่ง โฆษณาชักชวนประชาชนให้สมัครสมาชิกใช้บริการที่พักฟรีตามสถานที่พักตากอากาศ หรือโรงแรมที่บริษัทฯ จำเลยจัดไว้ เป็นเวลา 4 วัน 4 คืนต่อปี นาน 20 ปี โดยบัตรเงิน จ่ายค่าสมาชิกปีละ 30,000 บาท พร้อมค่าบำรุงปีละ 2,500 บาท และบัตรทอง จ่ายค่าสมาชิก 60,000 บาท พร้อมค่าบำรุงปีละ 4,500 บาท ซึ่งเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินกว่า พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงิน พ.ศ.2533 พวกจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
โดยเมื่อถึงเวลานัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่า โจทก์ยังไม่ได้รับหมาย ส่วนจำเลยมาศาลตามนัด ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2551 ให้จำคุกจำเลยที่ 2, 4-5 ซึ่งเป็นกรรมการที่มีอำนาจในบริษัท และเป็นผู้วางแผนการตลาดของบริษัท และเป็นผู้จัดการอบรมฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกคนละ 24,189 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2, 4-5 คนละ 120,945 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยทั้งสามได้ไม่เกิน 20 ปี จึงจำคุกจำเลยที่ 2, 4-5 คนละ 20 ปี และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 3 ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้คืนสมาชิกนั้น เห็นว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งห้าเมื่อวันที่ 19 ก.พ.45 (ทรัพย์ที่ถูกอายัดไว้แล้ว 163.252 ล้านบาท ) และให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายแล้วเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2546 จึงไม่อาจมีคำสั่งได้อีก