xs
xsm
sm
md
lg

ปริศนา "หมอสุพัฒน์" นักบุญหรือคนบาป!!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นายแพทย์ (สบ 5) รพ.ตำรวจ
ยังคงเป็นประเด็นข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจ และคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่องกับคดีการหายตัวไปของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย และน.ส.อรษา เกิดทรัพย์ สองสามี-ภรรยา เจ้าของไร่สับปะรด ชาว จ.เพชรบุรี หลังจากก่อนหน้านี้ตำรวจได้มีการเข้าจับกุมตัว พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นายแพทย์ (สบ 5) รพ.ตำรวจ ผู้ต้องหา รวมทั้งออกหมายจับ นางวิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์

นำไปสู่การขุดเจอโครงกระดูกมนุษย์ 3 โครงฝังอยู่ในไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ และแม้ว่าผลตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกที่พบจะไม่ตรงกับญาติผู้สูญหาย แต่ทว่าโครงกระดูก 2 โครงที่ขุดพบนั้นมีร่องรอยการถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด กล่าวคือมีรูกระสุนที่กะโหลกศีรษะ ลักษณะคล้ายการถูกจับยิง โดยหนึ่งในนั้นได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นโครงกระดูกของ นายตั้น หรือ อีต้า คนงานชาวกะเหรี่ยง สอดคล้องกับคำยืนยันจากนายกะลา สัญชาติพม่า อดีตลูกจ้างของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ที่ระบุว่าโครงกระดูกทั้ง 2 โครง เกิดจากน้ำมือของเจ้านายเก่าของเขานั่นเอง จึงกลายเป็นคดีอาชญากรรมซ้อนขึ้นมาอีกคดี ที่ตำรวจเองก็ต้องทำควบคู่กันไป

ขณะที่อีกหนึ่งภารกิจที่ชุดสืบสวนคลี่คลายคดีนี้กำลังเร่งดำเนินการอยู่เช่นเดียวกัน คือ การค้นหาศพของสองสามี-ภรรยา ที่คาดการณ์กันไว้แต่แรกว่า อาจถูกฝังอยู่ภายในไร่ดังกล่าว แต่ยังไม่ทราบจุดที่ชัดเจน ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงไม่ละความพยายามในการค้นหา ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เข้าตรวจค้นเป็นรอบที่ 11 แล้ว เพราะอย่างที่ทราบ โครงกระดูกจะเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อให้คดีเดินหน้าต่อไปได้

ในส่วนเรื่องของคดียังคงมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงบ่ายวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ชุดสืบสวน บช.ภ.7 สามารถติดตามจับกุมนางวิลสา ขณะซ่อนตัวในบ้านเพื่อนย่านตลิ่งชัน ก่อนที่ตำรวจได้ควบคุมตัวไปเค้นสอบปากคำอย่างเคร่งเครียด ซึ่งในชั้นนี้เจ้าตัวให้การรับสารภาพว่ารู้เห็นการอุ้ม สองสามีภรรยา มาที่ไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ จริง แต่อ้างว่าตนเองไม่เห็นขณะมีการฆาตกรรม ได้ยินแต่เสียงปืน เห็นสามีพา สองสามีภรรยามาที่ไร่ ก่อนจะเดินจูงไปทีละคนแล้วได้ยินเสียงปืน แต่ตนไม่รู้ว่ามีการเอาศพไปซ่อนอำพรางไว้ที่ใด ซึ่งคำให้การของนางวิลสา นี่เองทำให้ตำรวจเริ่มมีความหวังมากยิ่งขึ้น ว่าคดีได้เดินมาถูกทาง

แต่ทว่าในวันรุ่งขึ้น น.ส.วิลสา คนเดิม กลับทำหนังสือร้องเรียนสื่อมวลชน อ้างว่า ถูกตำรวจพยายามพูดจาโน้มน้าวให้ปรักปรำและใส่ร้าย พ.ต.อ.สุพัฒน์ ผู้เป็นสามี ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวของสองสามีภรรยา เช่น ถ้าไปช่วยหมอสุพัฒน์แล้ว ไม่ห่วงลูกหรืออย่างไร ถ้าแม่เข้าคุกใครจะดูแลลูก ขอให้บอกว่า ศพอยู่ที่ไหน แล้วจะกันตัวเป็นพยานและไม่เปิดโอกาสให้ติดต่อทนายความเลย

"ขอยืนยันว่า ไม่รู้เรื่องการหายตัวของสองสามีภรรยา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังพูดจาข่มขู่ทุกรูปแบบ และไม่เปิดโอกาสให้ติดต่อทนายความ แต่ยังสอบปากคำจนถึงเวลาตีสอง ทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนล้า จนไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้ จึงได้ตอบคำถามตามที่พนักงานสอบสวนพูดนำ แล้วให้พูดตาม เมื่อพนักงานสอบสวนพอใจ จึงให้เซ็นชื่อว่าเป็นคำให้การของตัวเอง ทั้งที่ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่า ไม่รู้เรื่อง" ข้อความในจดหมายของ น.ส.วิลสา ระบุ

แต่นั่นก็เป็นเพียงคำให้การของ นางวิลสา ซึ่งในการสอบสวนผู้ต้องหาจะให้การอย่างไรก็ได้ และหลังจากมีข่าวเผยแพร่ออกไป ตำรวจเองได้ออกมาปฏิเสธทันที ว่า ที่ผ่านมาไม่มีการพูดจาข่มขู่ให้ นางวิลสา สารภาพหรือปรักปรำ พ.ต.อ.สุพัฒน์ แต่อย่างใด เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น

นอกจากนี้ตำรวจได้พยานปากสำคัญในคดี เพิ่มอีก 1 ปาก คือ นายซอแงเล หรือนายโหย่ง อายุ 24 ปี อดีตคนงานชาวกะเหรี่ยง โดยนายซอแงเล ระบุว่า ตนเองเป็นคนงานในไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ เมื่อปี 2547 แต่ไม่เคยได้รับเงินเดือน และยังมีคนงานชาวพม่าชาวกะเหรี่ยงอยู่ด้วยอีก 2-3 คน โดยนางวิลสา เป็นคนดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของคนงานภายในไร่ ต่อมา พ.ต.อ.สุพัฒน์ มาพบ นายตั้น หรืออีต้า เพื่อนคนงานชาวกะเหรี่ยง ที่พบกลายเป็นโครงกระดูก นอนดูทีวีอยู่ในห้องของ นางวิลสา จึงเกิดความไม่พอใจคิดว่าภรรยาแอบมีอะไรกับคนงาน พ.ต.อ.สุพัฒน์ กับ นายกะลา จึงได้ไปเรียกนายอีต้าที่นอนอยู่กับตนออกมาซ้อม และทรมานรัดคอด้วยเชือก โดย พ.ต.อ.สุพัฒน์ ถือปืนยาวคอยข่มขู่ โดยมีนายกะลาช่วยจับตัวไว้ ซึ่งตนเองก็ถูกซ้อมจนสลบ

"เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นนายอีต้ายังสลบอยู่ ผมจึงรีบวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนงานที่อยู่กับนายจ้างอีกไร่หนึ่งที่อยู่ติดกัน จากนั้นก็หนีกลับพม่าเพราะกลัวถูกฆ่า แล้วก็ไม่รู้ชะตากรรมของนายอีต้าอีก"นายซอแงเล กล่าว และว่า หลังจากนั้นอีก 2 ปี ตนจึงกลับเข้าไทยอีกครั้ง ก่อนถุกเจ้าหน้าที่เชิญตัวมาสอบปากคำ

ด้าน พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธ์ รอง ผบช.ภ.7 ระบุว่า หลังได้สอบปากคำ นายซอแงเล จนได้รายละเอียดครบถ้วนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในโครงกระดูกที่พบตรงตามคำบอกเล่าของนายกะลาคือนายตั้น หรืออีต้า และผลการตรวจดีเอ็นเอก็ออกมาว่าเป็นคนเดียวกันมีรอยถูกยิงด้วย หลังจากนี้ไปทางพนักงานสอบสวนจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.อ.สุพัฒน์ ในข้อหาฆ่าคนตายได้อย่างแน่นอน ส่วนคดีสองสามีภรรยา ที่หายตัวไปนั้น พนักงานสอบสวนยังคงต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่ชัดเสียก่อน

ขณะที่ความขัดแย้งภายในครอบครัว พ.ต.อ.สุพัฒน์ เอง ก็เป็นประเด็นที่ประชาชนสนใจติดตามโดยเฉพาะข้อพิพาทกับนายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชาย เรื่องการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้อภิบาลมารดา ก่อนมีการฟ้องร้องกันไปมาหลายคดี นอกจากนี้ยังมีการตอบโต้กันไปมาของคนทั้งคู่ผ่านสื่อมวลชน ที่สำคัญมีข้อมูลที่ทั้งสองคนกล่าวอ้าง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ล่าสุด พ.ต.อ.สุพัฒน์ ได้เขียนจดหมายชี้แจง ตอบโต้ ข้อกล่าวหา ผ่านทางนายเอก เลาหะวัฒนะ บุตรชายที่เข้าเยี่ยมที่เรือนจำกลางเพชรบุรี โดยมีรายละเอียดดังนี้

กรณีที่หมอตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้สื่อและประชาชนจะมีข้อสงสัยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำไมหมอไม่มาพูดหมอมีพฤติกรรมต้องการให้แม่ตายตามคลิปในโทรทัศน์หรือมีพฤติกรรมเลวร้ายตามที่พี่สุเทพกล่าวหาจริงหรือไม่

การที่ไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรก เนื่องจากไม่เชื่อว่าพี่สุเทพจะนำหมอไปเกี่ยวกับนายสามารถเป็นเรื่องราว เพราะโดยส่วนตัวไม่เคยมีเรื่องขัดใจอะไรที่รุนแรงกับครอบครัว นายสว่าง นายสามารถเลย มีแต่เคยให้ความช่วยเหลือ ทางการเงินกับนายสว่าง และช่วยเหลือให้บุตรสาวเข้าทำงาน รพ.ตำรวจ

สิ่งที่สำคัญคือ ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจาก หมอได้ร้องคุ้มครองชั่วคราวต่อศาล หากท่านได้ดูคลิปคุณแม่จะเห็นว่าคุณแม่บอกว่า “มันเอาเงินแม่ไปจนหมดที่ดินก็เอาไปขาย ถ้าขายหมดมันมาฆ่าแม่แน่” คำพูดทั้งหมด เป็นคำพูดที่แม่พูดกับหมอเมื่อหมอไปพบแม่ตามลำพัง คุณแม่มักจะว่าชื่อลูกสลับกัน เนื่องจากเป็นโรคสมองเสื่อมรุนแรง หมอจึงได้ไปร้องขอต่อศาลขอเป็นผู้อนุบาลมารดา

ในระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี พี่สุเทพ และนายสุคนธ์ (ลูกเลี้ยง)ได้นำนางถนิมไปพิมพ์มือ โอนขายที่ดินเป็นเงิน 200 ล้านและโอนย้ายถ่ายเทเงินดังกล่าวไปจนหมด เป็นเหตุให้ศาลท่านอายัดทรัพย์สินของนางถนิมทั้งหมด มิให้มีการโอนย้ายถ่ายเทอีก ทำให้ทางสุเทพ ซึ่งมีปัญหาด้านการเงินมาโดยตลอดเดือดร้อน พี่สุเทพเคยเป็นผู้จัดการบริษัทโฆษณา มีความเชี่ยวชาญด้านสื่อเป็นอย่างมาก และที่พี่สุเทพเคยให้สัมภาษณ์ว่าหมอเคยเตือนว่าพี่สุเทพชอบเดินข้ามเส้นหมายถึง ตลอดชีวิตของพี่สุเทพที่ผ่านมา มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนฉ้อฉล คดโกง มาโดยตลอดทำให้ต้องมีคดีแพ่งและอาญาตลอดมา ถูกไล่ออกจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เพราะทุจริต 400 ล้าน มิใช่ลาออกมาดูแลแม่ตามที่พูด(มีหลักฐานเอกสารชัดเจน จากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้)ถูกฟ้องคดีอาญา ยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สิน โรงงานว่านหางจระเข้ที่เพชรบุรี ถูกสำนักงานสวัสดิภาพพิทักษ์เด็กและเยาวชนฟ้องนายสุเทพ กู้เงินและถ่ายโอนเงิน 4 ล้านกว่า และอีกหลายคดี

เมื่อปี 2540 แม่ถนิมมีอาการสมองเสื่อม คนรอบข้างรวมทั้งพี่สุเทพ เริ่มยักย้ายถ่ายโอนเงินในบัญชีคุณแม่ไปใช้ (มีหลักฐาน-อยู่ในศาล)

ปี 2545 คุณแม่พบว่าเงินหมดบัญชี ได้มอบอำนาจให้หมอไปตรวจสอบเงินในบัญชี พบว่าคนรอบข้างได้ยักย้ายถ่ายโอนเงินจากบัญชี โดยเฉพาะพี่สุเทพ เอาเงินไปถึง 2 ล้านบาท คุณแม่เมื่อทราบเรื่อง ร้องไห้เสียสติ ต้องเข้าโรงพยาบาล

คุณแม่มอบอำนาจให้หมอดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องแต่หมอเห็นว่าทุกคนล้วนเป็นคนใกล้ชิด โดยเฉพาะพี่สุเทพจึงแจ้งกับทุกคนว่า พอได้แล้วนะ หยุดได้แล้ว ปี2553 พี่สุเทพยังคงพิมพ์มือคุณแม่ไปโอนที่ดิน ที่เป็นบ้านของคุณแม่และพ่อ ที่ซอยเย็นอากาศเป็นของตนเองจนคุณแม่ฝังใจว่ามันโอนเงินโอนที่แม่ไปจนหมดแม่ต้องตายแน่

จุดสำคัญที่หมอไปร้องขอเป็นผู้อนุบาลเพราะพี่สุเทพไปพาแม่ถนิมไปรักษาโรคที่เป็น ซื้อยาให้แม่กินเองซื้อยาที่คุณแม่เคยมีผลข้างเคียง (แอสไพริน) ให้กินแทนยา PLAVIX ที่มีราคาสูง ทำให้แม่ถนิมมีเลือดออกในกระเพาะช็อกจนต้องเข้า ICU เมื่อพาไปพบแพทย์ก็ปกปิดประวัติ เพื่อไม่ให้มีการบันทึกใบเวชระเบียน ทำให้แพทย์

กุญแจบ้านและโฉนดที่ทุกแปลง สุเทพได้ขนย้ายไปเก็บไว้เอง หมอไม่เคยไปเฝ้าบ้านดังกล่าวเลยสักครั้งแต่ปี 2548 ที่คุณแม่เป็นโรคสมองเสื่อมรุนแรงและต้องการกลับไปเฝ้าบ้านเย็นอากาศเพราะกลัวพี่สุเทพจะนำบ้านไปขาย หากติดตามข่าวตั้งแต่ต้นจะเห็นว่า พี่สุเทพเป็นคนนำกุญแจบ้านไปไขให้นายสว่างเข้าไปดูรถ นายสว่างก็เป็นลูกน้องของพี่สุเทพล้วนมีคดีติดตัวนับสิบคดี รวมทั้งคดีฆ่าคนตายด้วยนายสามารถก็มีคดีอาญาลักทรัพย์และยาบ้าติดตัวอยู่

น.ส.วิลสา ได้ไปให้การเป็นพยานในคดีอนุบาลแม่ถนิมพี่สุเทพได้พยายามผูกเรื่องให้เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อทำลายคนอื่น รวมทั้ง น.ส.สุธาสิณี หลานของตนเองแท้ๆ

การที่หมอมีอาวุธปืนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหมอเป็นนักกีฬายิงปืนมาตั้งแต่ 2533 ทดสอบอาวุธปืนได้เหรียญทองของตำรวจ นอกจากนี้ยังเป็นประธานกีฬายิงปืนสี่เหล่ามี-ห้า ถึงสี่สมัยสามารถตรวจสอบได้

การพิจารณาว่าหมอเป็นผู้ผิดโดยจับตัวไปขังคุกไม่ให้ประกัน แล้วแจ้งข้อหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ให้โอกาสนำพยานหลักฐานมาแสดงนั้น ไม่เป็นการยุติธรรม การพิจารณาว่าใครเป็นคนดี-เลว ต้องดูพฤติกรรมเดิม หมอพร้อมให้ตรวจสอบประวัติว่ามีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่ รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด ทุ่มเทความรู้และเรี่ยวแรงเพื่อผู้ป่วยหรือไม่ได้รับการยอมรับจากบุคลากรในองค์กรเลือกให้เป็นประธานองค์กรแพทย์จริงหรือไม่

การนำพฤติกรรมของพี่หรือบุคคลในครอบครัวมาเปิดเผยเป็นเรื่องน่าละอาย หากคุณพ่อยังอยู่ (คุณพ่ออาศัยอยู่กับหมอจนเสียชีวิตในปี 2544) คงจะเสียใจ คำสั่งคุณพ่อคุณแม่ที่จะขอใช้ทรัพย์สินที่หามาได้ จนกว่าชีวิตจะหาไม่สิ้นชีวิตแล้วลูกค่อยเอาไปแบ่งกัน ที่ทุกคนรู้ดีก็ถูกฝ่าฝืน ทุกคนแก่งแย่งทรัพย์สินของพ่อแม่ ไม่เคยคิดหากินด้วยตนเอง ทั้งๆที่พ่อ-แม่ให้ความรู้สูง ๆ รู้สึกเสียใจที่ต้องเปิดเผยพฤติกรรมของพี่ชายแท้ แต่เพื่อปกป้องตนเอง ชื่อเสียงที่สร้างมาตลอดชีวิต พี่ชายแท้ๆที่คลานตามกันมาทำลายน้องทำลายหลานแท้ๆ เพื่อให้ได้สิ่งเดียวคือเงิน คติพจน์ของคุณสุเทพคือเงินซื้อได้ทุกอย่าง ไม่มีหน่วยงานไหนปฏิเสธเพียงแค่บ่นว่าไม่พอ

ด้านนายสุเทพ ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาของน้องชายโดยทันทีทั้งเรื่องที่ดิน โดยระบุว่า มารดาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จะยกให้ใครก็ได้เป็นสิทธิของท่าน ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ทราบดี แต่กลับไปแจ้งความดำเนินคดีกับตน และคดีนี้ยังอยู่ในชั้นศาล ทั้งนี้ หากตนไปหลอกหรือบังคับให้มารดาที่ดินดังกล่าวให้ เจ้าหน้าที่กรมที่ดินคงต้องมีการตรวจสอบ และศาลคงตัดสินไปนานแล้ว ส่วนที่ระบุว่าตนถูกปลดออกจาก บอร์ดองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) เพราะทุจริตเงิน 400 ล้านบาทนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะหากเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา คงจะถูกฟ้องร้องไปนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไร เข้าใจว่า พ.ต.อ.สุพัฒน์ คงไม่มีทางออก จึงพยายามเบี่ยงตัวเองออกจากคดี

ส่วนเรื่องนายกะลา คนงานพม่า ที่ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ระบุว่า เคยเป็นลูกน้องเก่าของตนนั้น นายสุเทพ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ยอมว่าเคยเห็นหน้าเท่านั้น และเมื่อครั้งนายกะลาถูกตำรวจจับ หมอประกันตัวออกมายังโทรศัพท์ให้ตนไปรับตัวที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพราะบ้านอยู่ใกล้ ดังนั้นจะบอกว่ากะลาเป็นลูกน้องคงไม่ใช่ และสุดท้ายในประเด็นเรื่องอาการป่วยของนางถนิมที่ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ระบุว่า เป็นโรคอัลไซเมอร์ถึงขั้นเรียกชื่อลูกผิด นั้น นายสุเทพ ชี้แจงว่า มารดาเรียกชื่อลูกทุกคนถูกหมดยกเว้นหมอคนเดียวที่มารดามีเจตนาที่จะไม่เรียก เพราะหมอไม่เคยมาหา แม้บ้านและที่ทำงานจะอยู่ใกล้กัน

"ขอยืนยันว่าแม่ไม่ได้เป็นโรคอัลไซเมอร์ แต่เป็นความดัน ซึ่งหมอก็ยังให้ยากดความดันมาตลอด เรื่องนี้หลักฐานอยู่ในเวชระเบียนหมด ซึ่งจะมาพูดเล่นไม่ได้ มันเป็นหลักฐาน และข้อมูลของหมอแต่ละท่านในการรักษาผู้ป่วยอยู่แล้ว ผมในฐานะพี่ชายไม่อยากตอบโต้อะไร ไม่อยากเอาเรื่องน้องชายอะไรทั้งนั้น แค่นี้ก็เป็นกรรมของน้องชายที่แสนสาหัส" นายสุเทพ ระบุ

จะเห็นได้ว่าเรื่องความขัดแย้งภายในครอบครัวของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ซึ่งเป็นประเด็นแทรกซ้อนขึ้นมาจากคดีอุ้มสองสามี-ภรรยา ที่สำคัญเรื่องนี้เองก็ได้สร้างความสับสนงุนงง ให้กับผู้ที่ติดตามข่าวเกี่ยวกับคดีนี้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ปรากฎออกมาจากคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และคงไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าความจริงที่แท้นั้นเป็นเช่นไร นอกจากตัวคู่กรณีเอง

ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งการทำคดีนี้เองก็มีความยากในหลายจุด ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับตำรวจที่ทำคดีเช่นเดียวกัน เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอโครงกระดูก หรือหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ว่า สามีภรรยาคู่นี้ถูกฆาตกรรม หรือ แม้ตำรวจจะสามารถค้นเจอโครงกระดูก แต่กระนั้นก็เป็นการยากอีก ที่จะพิสูจน์ได้ว่า พ.ต.อ.สุพัฒน์ เป็นผู้ลงมือสังหารจริง

นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้คดีนี้เป็นงานยาก คือ ระยะเวลาที่ผ่านมานานกว่า 3 ปี ทำให้หลักส่วนใหญ่ถูกทำลายสูญหายไปจนแทบหมดสิ้น ประจักษ์พยานก็แทบไม่มีเหลือ คดีนี้จึงถือเป็นงานหิน ที่พิสูจน์ฝีมือของตำรวจชุดคลี่คลายคดีนี้อย่างแท้จริง และเชื่อได้เลยว่าคดีนี้คงเป็นหนังเรื่องยาว ที่ต้องตามกันต่อไป ว่าบทสรุปสุดท้าย จะลงเอยอย่างไร ซึ่งทุกอย่างคงต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน

กำลังโหลดความคิดเห็น